Tuesday, May 26, 2009

เปรียบเทียบระหว่างศาสนา


http://adf.ly/1Cyhpu
ความจริงแห่งอัลกุรอ่านหลายฉบับ
อิสลามที่แท้จริง(ฆ่าคนไปสวรรค์)
ภาพยนต์ Fitna

ผู้สร้าง

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า (กิเลส กรรม วิบาก) เป็นผู้สร้างสัตว์ สรรพสิ่งนอกนั้นเกิดจากการประกอบกันของสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติบ้าง จากการกระทำของคนของสัตว์บ้าง

ในศาสนาคริสต์ แสดงว่าพระเจ้าคือพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง

ในศาสนาอิสลามแสดงว่าพระเจ้าคือพระอัลเลาะฮ์ เป็นผู้สร้างทุกอย่าง

คัมภีร์

ในพระพุทธศาสนาใช้พระไตรปิฎก

ในศาสนาคริสต์ใช้คัมภีร์ไบเบิล

ในศาสนาอิสลามใช้คัมภีร์กุระอาน

การฆ่า

พระพุทธศาสนา[คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐] แสดงว่าการฆ่าคนฆ่าสัตว์โดยมีเจตนาเป็นความชั่วทั้งสิ้น แม้ว่าจะฆ่าเพื่อพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญส่วน


ในศาสนาคริสต์[เยเรมีย์ 51]และอิสลาม[ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน (Al-i-Imron)3:152] [ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ (Al-Baqarah)2:196]แสดงว่าการฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ถ้าเป็นฆ่าเพื่อพระเจ้าย่อมเป็นความดี ความชอบการฆ่าสัตว์เป็นอาหารและป้องกันตัวฆ่าสัตว์ที่ตนเห็นว่าเป็น สัตว์ร้ายเป็นการไม่ผิด ฆ่านอกนั้นจึงเป็นการผิด

การลัก

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า การลักทุกชนิดเป็นความชั่ว [สารัชชสูตร]

ในศาสนาคริสต์[ผู้วินิจฉัย 3:12] และอิสลาม [ซูเราะฮฺ อัล-อันฟาล (Al-Anfal)8:1] แสดงว่า การลักเพื่อพระเจ้าและเพื่อพระศาสนาเป็นความดี ลักเพื่อเหตุนอกนั้นเป็นความชั่ว

การชู้สาว

ในพระพุทธศาสนา คริสต์ อิสลามแสดงว่าเป็นความชั่วทั้งสิ้น

การพูดปด

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าการพูดปดทุกอย่างเป็นความชั่ว [สัปปุริสวรรคที่ ๑]

ในศาสนาคริสต์[โยชูวา 2:4]และอิสลาม[ซูเราะฮฺ อัตตะหฺรีม (At-Tahrim)66:2]แสดงว่า ถ้าพูดปดเพื่อพระเจ้าและพระศาสดาแล้วเป็นความดี พูดปดเพื่อเหตุนอกนั้นเป็นความชั่ว

ที่พึ่ง

ในพระพุทธศาสนาให้พึ่งตนเอง โดยอาศัยธรรม [คิลานสูตร]

ในศาสนาคริสต์สอนให้พึ่งพระเจ้า แม้จะสอนว่าจงช่วยตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน
ก็สรุปลงที่ให้พึ่งพระเจ้า [สดุดี 18:16]

ในศาสนาอิสลามสอนให้พึ่งพระเจ้า [อัฎเฎาะล๊าก 65:5]

การดื่มเหล้า

ในพระพุทธศาสนา คริสต์ อิสลาม แสดงว่าเป็นความชั่วทั้งสิ้น

เสรีภาพในการถือศาสนา

ในพระพุทธศาสนา[เกสปุตตสูตร]แสดงว่า ใครจะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่แล้วแต่ศรัทธา ไม่มีการบังคับ ไม่มีการนำสวรรค์เข้ามาล่อ นำนรกเข้ามาขู่

ในศาสนาคริสต์[วิวรณ์ 21]แสดงว่าถ้าใครไม่นับถือศาสนา คริสต์ ตายไปต้องถูกพิพากษาให้ตกนรกตลอดกาลคนจะขึ้นสวรรค์ได้ต้องนับถือศาสนาคริสต์ มีการบังคับ ในการนับถือศาสนา

ในศาสนาอิสลาม[ซูเราะฮฺ อัลบัยยินะฮฺ (Al-Baiyina)98:1-8]แสดงว่าใครไม่นับถือศาสนาอิสลามตายไปต้องถูกพิพากษา ให้ตกนรกตลอดกาล คนจะขึ้นสวรรค์ได้ต้องนับถือศาสนาอิสลาม มีการบังคับในการนับถือศาสนา

การเกิดการตาย

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าคนตายแล้วถ้ามีเหตุคือกิเลสอยู่ต้องเกิด แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นแล้วแต่เหตุคือความดี ความชั่วที่ทำเอาไว้ และจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนั้น จนกว่า จะหมดเหตุคือกิเลส คราวนี้ตายแล้ว กิเลสจะหมดสิ้นก็เพราะอาศัยเหตุคือการปฏิบัติธรรม  [จูฬตัณหาสังขยสูตร]

ในศาสนาคริสต์ แสดงว่าคนเกิดก็เพราะพระเจ้าให้เกิด เมื่อตายแล้ว เฉพาะคนนับถือคริสต์ศาสนาเขาจะ นำศพไปฝังไว้ ที่ หลุมฝังศพ วิญญาณจะวนเวียนอยู่ที่นั่น คอยอยู่จนกว่าจะถึงวันพิพากษาเมื่อถึงวันนั้นศพทุกศพจะลุกจาก ที่ฝังเดินข้ามสะพานไปสู่ประตูสวรรค์ ถ้าเป็นคนนับถือศาสนาอื่น หรือเป็นคนคริสต์แต่ทำบาปมากจะ ข้ามสะพาน นั้นไม่ได้ ต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกาลไม่มีวันหลุดพ้นได้ ถัาเป็นคนมีบาปไม่หนักจะได้รับการให้ข้ามสะพานอีก หรือให้ไฟนรกเผาจนพอแล้วก็ขึ้นสวรรค์ได้ [2 เธสะโลนิกา 1]

ในศาสนาอิสลามก็เช่นเดียวกันกับ ศาสนาคริสต์ ต่างกันแต่ว่าสะพานพิพากษาของอิสลาม คนมุสลิมย่อมข้ามไปสู่ประตูสวรรค์ได้ แต่คนนับถือ ศาสนาอื่นหรือคนมุสลิมที่มีบาปมากย่อมข้ามไม่ได้ ต้องตกลงไปสู่นรกหมกไหม้อยู่ตลอดกาลไม่มีวัน หลุดพ้น รวมความว่าในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามถือว่าเกิดเป็นคนชาติเดียว ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด..[ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน (Al-i-Imron)3:85]

ความดีความชั่ว
ในพระพุทธศาสนา[ธรรมปริยายสูตร]แสดงว่าคนเป็นผู้รับผิดชอบในการกระทำของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ความดีความชั่ว

ในศาสนาคริสต์[เพลงสดุดี 77]และอิสลาม[ซูเราะฮฺ ฮูด (Hud)11:9] แสดงว่าความดี พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้คนทำ ผลแห่งความดี พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้เอง แต่ความชั่วเป็นเรื่องของคนที่จะต้องรับผิดชอบเอง (ค้านกับข้อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง)

เทพเจ้า

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าเทพเจ้านั้นคือผู้เป็นตัวอย่างของผู้ได้รับผลของการทำดีอย่างสูงมิใช่เทพเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง และมีมากองค์แบ่งเป็น 3 ประเภทคืออุบัติเทพ สมมติเทพ วิสุทธิเทพ อุบัติเทพคือเทพเจ้าในสวรรค์หรือวิมานนั้นๆ เป็นอทิสสมานกายคือไม่เห็นตัว ไม่เหมือนสมมติเทพ คือกษัตริย์ หรือคน ชั้นสูง วิสุทธิเทพคือคนที่ไม่มีกิเลสเป็นเทพที่วิเศษที่สุดสูงกว่าเทพชนิดอื่น แม้แต่อุบัติเทพก็ต้องนับถือ วิสุทธิเทพนี้ ข้อนี้แสดงว่าในศาสนานี้ถือว่า

(1) คนมีโอกาสเป็นเทพเจ้าได้ทั้งเป็น โดยมิต้องรอให้ตายก่อนแล้ว จึงไปเกิดเป็น
(2) เทพเจ้าบนสวรรค์มิใช่วิเศษเสมอไป ยังสู้คนบางประเภทไม่ได้
(3) เป็นศาสนาที่ถือความดี เป็นสำคัญ

ในศาสนาคริสต์และอิสลาม ตามคัมภีร์แสดงว่ามีเทพเจ้า 2 ประเภทคือ เทพเจ้าผู้สร้างกับเทพบริวาร(ทูตสวรรค์ หรือ มลาอิกะห์) เทพเจ้า ผู้สร้างต้องมีองค์เดียว ของศาสนาคริสต์ทรงพระนามว่า พระยะโฮวา ของศาสนาอิสลามทรงพระนามว่า พระอัลเลาะฮ์ มีบริวารหลายองค์ เทพเจ้าทั้ง 2 นี้ ไม่ปรากฏร่างกายแทรกซึมอยู่ในที่ทุกแห่ง แม้แต่ในเม็ดทราย ทุกเม็ด และในตัวเรา เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง มีฤทธิ์ที่สุด มีความเมตตาที่สุด มีความยุติธรรมที่สุดมีกิเลสเช่นรัก โกรธ ริษยา หลง เหมือนคน แต่คนไม่มีทางที่จะดีกว่าเทพเจ้าใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเกรงกลัวและภักดีต่อพระเจ้าตลอดไป จะสงสัยไม่ได้

ตัวตน

ในพระพุทธศาสนาแสดงหลักธรรมชั้นสูงว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตน หรือเรา ของเราและแสดงว่าการเลิกยึดถือว่าเรา ว่าของเรา ได้เด็ดขาดนั่นเป็นบรมสุข

ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่ามีตัวตน ไม่มีการสอนให้เลิกยึดถือว่าเรา ของเรา

ความกลัว

ในพระพุทธศาสนา[ธรรมสูตร]สอนให้กลัวต่อความชั่ว ต่อสังสารวัฏ และสอนให้กล้าหาญในการทำความดี กล้าในการที่จะหาทางหยุดสังสารวัฏของตน
ในศาสนาคริสต์[พระราชบัญญัติ 17]และอิสลาม[ซูเราะฮฺ อัลหุญร๊อต (Al-Hujurat)49:1]สอนให้กลัวพระเจ้า

ความเชื่อ

ในพระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อ ถ้าจะเชื่อก็ต้องเชื่อโดยใช้วิจารณปัญญาก่อน เมื่อเห็นว่าควรเชื่อจึงเชื่อเห็นว่าไม่ควรเชื่อก็อย่าเชื่อ กล่าวคือให้รู้ก่อนจึงเชื่อ และไม่มีการบังคับ ไม่มีการลงโทษ เช่น ให้ตกนรก ให้ได้รับความทุกข์ยากสำหรับผู้ไม่เชื่อพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนาที่ใดมีการสอน เรื่องความเชื่อ ที่นั่นต้องมีการสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาข้อเท็จจริงกำกับด้วยทุกแห่ง

อีกประการหนึ่ง พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อด้วยลักษณะดังข้อความในกาลามสูตรต่อไปนี้

อย่าเพึ่งเชื่อโดยได้ฟังตามกันมา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยสืบต่อกันมา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยตื่นตามเขา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยเดาเอาเอง
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเน
อย่าเพิ่งเชื่อโfโยตรึกเองตามอาการที่เห็น
อย่าเพิ่งเชื่อโดยชอบใจว่าตรงกับลัทธิของตน
อย่าเพิ่งเชื่อโดยเห็นว่าผู้พูดควรเชื่อถือได้ และ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของตน

แต่ทรงสอนให้เชื่อความจริงที่ตนพบแล้ว

ในศาสนาคริสต์[โรม 4]และอิสลาม[ซูเราะฮฺ อัลอังกะบูต (Al-Ankabut)29:2]สอนให้เชื่อพระเจ้า ให้เชื่อก่อนโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง ถือว่าเมื่อเชื่อก่อนแล้วก็รู้เอง ความเชื่อพระเจ้าเป็นหัวใจของศาสนาทั้งสองนี้ ดังนั้นถ้าใครไม่เชื่อ จึงบังคับให้เชื่อ ใครสงสัยก็ไม่ได้ต้องตกนรก

การศึกษา

ในพระพุทธศาสนาส่งเสริมการศึกษา เพราะการศึกษาทำให้เกิดความรู้ ให้เกิดประโยชน์ แก่ตนและผู้อื่น ทำให้ตนเองและผู้อื่นฉลาด พระพุทธเจ้าทรงยกย่องความเป็นผู้มีความรู้ว่าเป็นมงคลอันสูงสุด เช่นเวสารัชชกรณธรรมเป็นต้น และไม่จำเป็นต้องศึกษาเพื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น จะศึกษาเพื่อพระองค์ หรือไม่ก็ได้

ในศาสนาคริสต์และอิสลามก็ส่งเสริมการศึกษามาก เช่นตั้งโรงเรียนเป็นต้น แต่ต้องมีความภักดี อย่างมั่นคง ต่อพระเจ้าคือทำเพื่อประชาชนและมีผลให้พระเจ้าโปรด

อิสรภาพ

พระพุทธเจ้าสอนให้ทำตนให้เป็นอิสระจากเครื่องผูกมัดคือกิเลส ไม่ให้เป็นทาสของสิ่งอื่น ไม่ให้เป็นทาสของเทวดาและของความกลัว

พระเยซู[มาระโก 6:34] พระโมฮัมหมัด[ซูเราะฮฺ อัซซูรอ (Ash-shura)42:4] สอนให้เป็นทาสของพระเจ้า

การบำเพ็ญประโยชน์
พระพุทธเจ้าตลอดเวลา 45 ปี ได้เสด็จไปตามเมืองน้อยใหญ่เพื่อสั่งสอนคือโปรยธรรมให้แก่ประชาชน ใครประพฤติตามธรรมก็มีความสุขพระองค์ไม่ทรงหวังผลตอบแทน ไม่ต้องการลาภยศ ชื่อเสียง ถ้าหวังก็ไม่จำเป็นต้องสละราชสมบัติออกบวช การบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธองค์จึงมีลักษณะที่บริสุทธิ์ที่สุด มีแต่ให้ไม่มีการหวังผลตอบแทน

ส่วนพระเยซู[โคโลสี 1]และพระโมฮัมหมัด[ซูเราะฮฺ อัลหะดีด (Al-Hadid)57:7] ทรงหวังผลตอบแทนเป็นสิ่งต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ เป็นต้น และไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์

ความสามัคคี

ทุกศาสนาสอนให้มีความสามัคคีตั้งแต่ระดับครอบครัว พี่น้องจนถึงประเทศชาติ

ปาฏิหาริย์

ทุกศาสนามีเรื่องปาฏิหาริย์ ในพระพุทธศาสนามี 3 ปาฏิหาริย์คืออิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์โดยดักความคิดหรือดักใจ อนุสาสนีปาฏฺหาริย์ ปาฏิหาริย์โดยการแสดงธรรมสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เพราะทำให้รู้ความจริงของทุกสิ่ง ทำให้พ้นความติดความยึดถือ คือพ้นกิเลส ชนะตัวเองในพระพุทธศาสนา ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ก็อยู่ได้..

ความชนะ

ในพระพุทธศาสนาสอนให้ชนะใจตนเองประเสริฐที่สุด[คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘]
ในศาสนาคริสต์[เพลงสดุดี 13]และอิสลาม[ซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ (At-Touba)9:41] สอนให้ชนะคนอื่นเป็นต้นเพื่อพระเจ้า

สันติภาพ

ในพระพุทธศาสนา[มหาวรรค วิโมกขกถา บริบูรณ์นิทาน]สอนให้มีเมตตาต่อกันทั้งคนทั้งสัตว์แล้วจะเกิดสันติภาพทั่วไป
ในศาสนคริสต์[กันดารวิถี 32:27]และอิสลาม [ซูเราะฮฺ อัลฟัตฮฺ (Al-fat-h)48:16] นั้นจะทำอะไรต้องเพื่อพระเจ้าเป็นหลัก

ปาฏิหาริย์

เป็นสิ่งไม่จำเป็นในพระพุทธศาสนาแม้นำเรื่องปาฏิหาริย์ออกจากพระพุทธศาสนาก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นศาสนามีเหตุผลเป็นหลัก จะเห็นได้ในพระไตรปิฎกและในนวโกวาท แต่จำเป็นสำหรับศาสนาคริสต์และอิสลามเพราะเป็นศาสนาที่มีความเชื่อเป็นหลัก

พิธีกรรม

ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องมีพิธีกรรมก็ตั้งอยู่ได้
แต่ศาสนาอื่นต้องมีพิธีกรรมเพื่อความศรัทธา

ความสำเร็จ

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าต้องปฏิบัติธรรมคืออิทธิบาท คือความพอใจ ความขยัน ความจริงใจสนใจ ความทดสอบทดลองค้นคว้า[ผลสูตรที่ 1 และ ผลสูตรที่ 2]
ในศาสนาคริสต์[โรม 9:15]และอิสลามซูเราะฮฺ [อัลอินซาน (Al-Insan)76:31] นั้นอยู่ที่ความประสงค์ของพระเจ้า

ความสุข-ความทุกข์

เรื่องนี้ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าอยู่ที่การกระทำ การพูด การคิด ของมนุษย์ [สิวกสูตร]
ในศาสนาคริสต์[ปฐมกาล 3:16-19]และอิสลาม [อัลฮัจญ์ (Al-Hajj)22:42-45]แสดงว่าแล้วแต่พระเจ้า

โลกธรรม

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าโลกธรรมคือเรื่องได้ไม่ได้ นินทา สรรเสริญ เป็นต้น เป็นเรื่องธรรมดาเกิดแก่ทุกคน แต่มันเปลี่ยนแปรไปเสมอ บางคนเฉยๆไม่ตื่นเต้น แต่บางคนเต้นไปตามมัน จึงเป้นทุกข์ เมื่อสิ่งที่ตนชอบแปรไป ควรระวังใจไม่ให้ตกเป็นทาสของมัน
เรื่องนี้ในศาสนาคริสต์และอิสลามถือว่าเป็นเรื่องของพระเจ้า

เกิดแก่ เจ็บ ตาย

ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ความแก่ เจ็บ ตาย มาจากเกิด ความเกิดมีเพราะกิเลสเป็นผู้สร้าง
ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงพระเจ้าเป็นผู้สร้าง

จิตใจ
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ใจสำคัญเป็นตัวนำ ควบคุมใจได้ย่อมเป็นสุข
ศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่าความสำคัญอยู่ที่พระเจ้า

ความบริสุทธิ์

ในพระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักกิเลส โทษของกิเลส ความบริสุทธิ์จากกิเลส
ในศาสนาคริสต์และอิสลามไม่มีสอนอย่างนี้

สมาธิ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเยซู พระโมฮัมหมัด ต่างปฏิบัติสมาธิกิจทุกพระองค์

การรู้วันสิ้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกำหนดวันปรินิพพานว่า อีก 3 เดือนต่อไปจะปรินิพพาน

พระเยซู ทรงทราบล่วงหน้าว่าอีก 2 วัน พระองค์จะถูกจับไปลงโทษ
พระโมฮัมหมัด ในพระประวัติไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้

ปัจฉิมพจน์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสปัจฉิมพจน์ (การพูดครั้งสุดท้ายแล้วหยุดพูด) ว่า "ภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอบอกเธอทั้งหลายว่า สังขาร(สิ่ง) ทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงให้สิ่งที่ดี (กุศลธรรม) สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด"
พระเยซู ตรัสปัจฉิมพจน์ว่า "ทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว"
พระโมฮัมหมัด ตรัสปัจฉิมพจน์ (ยาวมาก)ว่า "มุสลีมิน ข้าพเจ้าทำผิดต่อใครในพวกท่าน ข้าพเจ้าอยู่นี่พร้อมที่จะให้คำตอบที่แจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ข้าพเจ้าเป็นหนี้ใคร ข้าพเจ้ายินดีใช้คืนให้ เป็นต้น ฯลฯ" จบด้วยทรงฝากศาสนาแก่สาวกทั้งหลาย

ผู้นับถือศาสนาจะได้อะไร

พระพุทธศาสนาแสดงว่า ผู้นับถือศาสนาพุทธแล้ว จะได้รู้สิ่งที่ตน ไม่เคยรู้มาก่อน คือทำให้รู้จักพระเจ้าและรู้จักตัวเอง
ในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม แสดงว่า นับถือศาสนาดังกล่าวแล้วตายไปจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ของศาสนานั้นๆ.

ที่มา
http://www.yanavarodom.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=26&Itemid=39&limit=1&limitstart=3
http://www.yanavarodom.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=26&Itemid=39&limit=1&limitstart=4
http://www.yanavarodom.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=26&Itemid=39&limit=1&limitstart=5
http://www.yanavarodom.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=26&Itemid=39&limit=1&limitstart=6

อ้างอิงคัมภีร์
พระไตรปิฎก site:84000.org
ไบเบิ้ล site:www.thaipope.org/webbible
อัลกุรอ่าน site:http://www.alquran-thai.com

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปรียบเทียบระหว่างศาสนา  โดยเนื้อหาจากคัมภีร์(1)  ว่าด้วย "การฆ่า" 
เปรียบเทียบระหว่างศาสนา  โดยเนื้อหาจากคัมภีร์(2)  ว่าด้วย "การลัก" 



 

6 comments:

  1. มั่วอย่างไรขอทราบเป็นความรู้ด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

    ReplyDelete
  2. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
  3. This comment has been removed by a blog administrator.

    ReplyDelete
    Replies
    1. รบกวนขอ link หน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

      Delete
  4. This comment has been removed by a blog administrator.

    ReplyDelete
  5. ขออธิบายนิดนึงตามความรู้เท่าที่ผมพอจะมีอยู่บ้างนะ ในฐานะที่เป็นคนพุทธที่เปลี่ยนเป็นคริสเตียน วลีที่บอกการทำชั่วเพื่อพระเจ้าเป็นความดี ค่อนข้างเห็นชัดเจนถึงอคติที่ผู้เขียนมีต่อศาสนาอื่น หากเจ้าไปอ่านตามข้อที่อ้างโยงถึง

    ตัวอย่าง เช่น ในหมวดการฆ่า
    ยรม51 แท้จริงการที่พระเจ้ายอมให้มีการฆ่า ไม่ใช่ให้ฆ่าเพื่อพระองค์นะครับ พระองค์ให้ทำด้วยเหตุผลในด้านการปกป้องสิทธ์ด้วย กรณีนี้คือการยอมให้คนบาบิโลนบุกมาทำลายกรุงเยรูซาเลม เพื่อทำลายคนชั่วในเมืองที่รังแกคนดีๆในเมืองที่อดทนต่อการทำชั่วของชาวเมืองส่วนใหญ่มานานหลายปี การลงโทษคนชั่วเพื่อปกป้องคนดีไม่มีความผิด เป็นหลักสากลที่ทุกวันนี้อารยประเทศเค้าก็ทำกันนะครับ
    และที่จริงตอนเยเรเมีย์เขียน เหตการณ์ที่ว่านี้ยังไม่เกิดขึ้น นี่เป็นคำเตือนว่าหากพวกยิวยังคงทำนิสัยแบบนี้ พระเจ้าจะให้พวกบาบิโลนมาทำลายพวกเขา แต่ท้ายสุด พวกเขาไม่สนใจคำเตือนนี้ และสุดท้ายบาบิโลนก็มาจัดการพวกเขาจริงๆ แต่แน่นอนว่าพระเจ้าทำการปกป้องคนดีๆในเมืองเอาไว้จำนวนมากให้รอดชีวิต คนนึงที่รอดก็เยเรมีย์คนเขียนข้อความนี้นั่นแหละครับ

    ReplyDelete