Wednesday, December 29, 2010

คุณเฉลิม คงทอง อดีตชาวคริสต์ ผู้ศรัทธาพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


เฉลิม คงทอง


เคารพหลวงพ่อ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒

ข้าพเจ้าเป็นคนราชบุรี นับถือศาสนาคริสต์ เริ่มรู้จักหลวงพ่อตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปีเต็ม และได้ติดตามหลวงพ่อตลอดมา ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าอายุ ๕๙ ปีแล้ว ตอนที่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อ ที่วัดบางนมโคนั้น ตอนนั้น หลวงพ่อรับหน้าที่แทนหลวงปู่ปานแล้ว

เริ่มแรกทีเดียวนั้น ข้าพเจ้ากับนายแจ่ม เปาเล้ง (ซึ่งภายหลังไม่กี่ปี นายแจ่ม เปาเล้งก็กลายมาเป็นพ่อตาของข้าพเจ้า) พากันไปพบหลวงพ่อที่วัดบางนมโค ก็ได้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า คาถาวิระทะโย และได้ไปหานายประยงค์ ตั้งตรงจิตด้วย ไปคุยเรื่องคาถา พระปัจเจกพุทธเจ้า นายประยงค์ก็แนะนำว่า ต้องท่องคาถา และใส่บาตรอย่าให้ขาด จึงจะได้ผล

นายแจ่ม ได้คาถามา ก็ทำอย่างจริงจังแบบเปิดเผย เดิมเขาไม่มีที่ดิน ข้าพเจ้าก็แบ่งที่ดินให้ปลูกพริก ซึ่งนายแจ่มปลูกแล้ว พริกเจริญงอกงามดีมาก เพราะว่าปลูกไปก็ว่าคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำ ทำให้มีการคล่องตัว และทำให้การเป็นอยู่ดีขึ้น เพราะผลของคาถานี้ช่วยได้มาก

ตัวข้าพเจ้าได้คาถามาแล้ว ก็ท่องแบบเงียบๆ คือเอาวิธีหลวงพ่อมาทำแบบเงียบๆ ไม่ทำแบบเปิดเผย ตัวข้าพเจ้ายังคงนับถือศาสนาคริสต์อยู่ แต่ก็ท่องคาถาวิระทะโยไปเรื่อย พอลงมือทำงาน วิดน้ำในสวน ก็ท่องคาถานี้เรื่อยๆ โรคภัยก็ไม่ค่อยเบียดเบียน

สมัยนั้นมีโรคระบาดอยู่ทั่วไป คนป่วยกันมาก แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยเป็นอะไร ถึงข้าพเจ้านับถือคริสต์ เวลาไปหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ไหว้ท่านและเคารพนับถือท่าน ก็ทำตามที่ท่านแนะนำ ภายหลังเตี่ยข้าพเจ้าให้ที่ข้าพเจ้าทำสวน ๑๑ ไร่ ข้าพเจ้าทำสวนเรื่อยมา ก็ไม่ขาดทุน มีเหลือกิน เหลือใช้บ้าง ทำได้ดีพอสมควร ปลูกพืชล้มลุก พวกหอม พวกพริก ก็ทำให้มีผลงอกงามดี ได้กำไรดี และทำให้มีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเวลานี้มีอยู่ ๗๘ ไร่ ยิ่งทำก็ยิ่งมีความมั่นใจ ว่าถ้าได้ทำบุญกับหลวงพ่อแล้ว รู้สึกว่าทำอะไรก็ดีทุกอย่าง

ตอนนี้ หลวงพ่อรับหน้าที่จากหลวงปู่ปานแล้ว หลวงพ่อก็ออกล่องเรือไปตามแม่น้ำลำคลอง เอารูปหล่อหลวงปู่ปานใส่เรือ เปิดเครื่องขยายเสียง ชักชวนญาติโยมทั้ง ๒ ฝั่งน้ำทำบุญเพื่อนำปัจจัยไปซ่อมแซมวัดบางนมโค ผู้คนก็นิมนต์ให้หลวงพ่อ หยุดแวะรับปัจจัยเพื่อทำบุญ ร่วมบุญด้วย ทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำ ก็ใช้เวลาหลายวัน

ล่องเรือไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็จอดแวะที่นั่น ครั้นมาถึง ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ล่องเรือมาถึงบ้านข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็นิมนต์ให้พักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าคราวละหลายๆ วัน มีอะไรท่านก็สอนข้าพเจ้าและแนะนำ สิ่งใดที่ไม่รู้ก็ถามท่าน ท่านก็บอกให้หมดทุกอย่าง จึงมีความเคารพนับถือและติดตามหลวงพ่อตลอดมา หลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดไหนก็ตามไปหาตลอด

จนกระทั่งข้าพเจ้าจะปลูกบ้านเป็นของตนเอง ก่อนจะปลูกบ้าน หลวงพ่อได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับคนที่จังหวัดชัยนาทให้ฟังว่า

“มีเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่จังหวัดชัยนาท ปลูกบ้านที่มีเสาตกมัน และมีคนคิดจะมาขโมยของที่บ้านหลังนี้ แต่เขาก็กลัวๆ อยู่ จึงทำพิธีจับผีในบ้านนี้เสียก่อน โดยใช้พิธีทางไสยศาสตร์อยู่ ๓ วัน พอทำพิธีวันแรกก็ได้ยินเสียงร้อง “โว้ย” วันที่ ๒ ก็ได้ยินเสียงร้อง “โว้ย” พอวันที่ ๓ ไม่มีเสียงร้องอะไร ก็นึกว่าจับตัวได้แล้ว จึงเข้าไปขโมยของในบ้านหลังนี้

เข้าไปถึงก็เก็บข้าวของที่ต้องการกองๆ รวมกันไว้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวจะขนของออกไป ก็หาทางออกไม่ได้ นางไม้ได้ล้อมบ้านไว้ ประตูเหล็กยืดนั้นเดิมตอนเข้าไปขโมยของก็เปิดทิ้งไว้ พอเข้าไปขโมยของในบ้านแล้ว ประตูยืดนั้น ก็ปิดเข้ามาเอง เลยเอาของไปไม่ได้สักอย่าง จนกระทั่งคนในบ้านตื่นขึ้นมา ก็พบทั้งขโมยและของกลางกองรวมๆ กันอยู่ เจ้าของบ้านเลยจับขโมยได้โดยง่ายดาย”

หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้จบ จึงแนะนำให้ข้าพเจ้าไปซื้อไม้ที่มีเสาตกมันมาสร้างบ้าน จะได้ช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้อยู่เย็นเป็นสุข

ก่อนไปซื้อไม้มาปลูกบ้าน หลวงพ่อก็ได้เมตตามาทำพิธีบวงสรวงที่บ้านข้าพเจ้า โดยบวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทิศ ให้คุ้มครองข้าพเจ้า ซึ่งตอนนั้นเตี่ยข้าพเจ้านับถือศาสนาคริสต์อยู่ จึงหลีกเลี่ยงการตั้งศาลเพื่อไม่ให้ขัดใจเตี่ย

หลวงพ่อแนะวิธีให้ทำง่ายๆ คือ ให้หาไม้มาทำเป็นเสา และตอกเป็นหิ้งขึ้นแบบง่ายๆ และให้หาดอกไม้ธูปเทียนอย่างละ ๕ อย่าง วางไว้ที่หิ้ง พอหลวงพ่อบวงสรวงเสร็จ ข้าพเจ้าก็ออกไปหาซื้อไม้ เลือกซื้อไม้ใหม่มาเลย ไม่ใช้ไม้เก่า ไปซื้อไม้ใหม่ๆ มา ก็หาที่เป็นเสาตกมันไม่ได้ ไปซื้อจากที่เขาตัดมาเรียบร้อยแล้ว ซื้อไม้ที่ตัดมาใหม่ๆ เลย ก็คิดว่าหาไม่ได้

แต่พอได้ไม้มาแล้ว หลวงพ่อก็ทักขึ้นว่า ไม้ที่ซื้อมาทั้งหมด มีเสาทั้งหมด ๗ ต้นที่เป็นเสาตกมัน ในจำนวน ๗ ต้นนั้น ข้าพเจ้าใช้ ๖ ต้นปลูกบ้าน อีกต้นหนึ่งไม่ได้ใช้ เพราะเห็นว่ามีน้ำมันไหลเยิ้มออกมา จึงไม่ได้ใช้ จึงเอาไปปักไว้ข้างคลอง

จากนั้นหลวงพ่อ ก็ทำพิธีเชิญนางไม้ทั้งหมดให้ขึ้นไปรวมกันอยู่บนบ้านเลย ให้นางไม้ช่วยคุ้มครอง เวลามีภัยอันตรายต่างๆ ก็มักจะคอยให้การช่วยเหลืออยู่เป็นนิตย์ อย่างเช่น ครั้งหนึ่ง ลูกข้าพเจ้าผสมน้ำมันเบนซินบนบ้าน ไฟลุกพรึบ ข้าพเจ้าก็บอกให้รีบหิ้วไปเทข้างนอกบ้าน ทำให้ไฟไม่ไหม้บ้าน เวลาลูกเทน้ำมัน ไฟก็วิ่งมาบนแขนทั้ง ๒ ข้าง เมื่อดับไฟแล้ว ที่แขนไม่มีแผล ไม่มีแสบร้อนอะไรเลย นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่รอดปลอดภัยในครั้งนั้น

บางครั้งข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน มีคนมาจอดเรือเรียกข้าพเจ้า เขาได้ยินเสียงข้าพเจ้าตะโกนขานรับ แต่แล้วเขารอแล้วก็เงียบ เพราะข้าพเจ้าไม่อยู่ แถมปิดกุญแจบ้านไว้ด้วย

นับแต่ปลูกบ้านมา นางไม้ก็คอยคุ้มครองบ้าน และให้ความคุ้มครอง ปลูกพืชผลได้มาก ไม่มีขาดทุน มีแต่กำไรขึ้นเรื่อยๆ

ข้าพเจ้านับถือศาสนาคริสต์มาเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าแต่งงาน จึงทำพิธีตามแบบศาสนาคริสต์ (แต่งกับลูกสาว นายแจ่ม เปาเล้ง หลังจากที่พบหลวงพ่อเพียงไม่กี่ปี) วันแต่งงานนั้นหลวงพ่อไม่ได้ทำพิธีอะไรให้ แต่หลวงพ่อไปพักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้า ๒ – ๓ คืนที่ จ.ราชบุรี

ต่อมาข้าพเจ้าก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับภรรยาของข้าพเจ้า สาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาคริสต์มาเป็นศาสนาพุทธเพราะว่า

ข้าพเจ้าได้ถามหลวงพ่อว่า “พระเยซูมีจริงไหม”

หลวงพ่อตอบว่า “มี อยู่ชั้นกามาวจรสวรรค์”

ข้าพเจ้าจึงถามหลวงพ่ออีกว่า “ศาสนาคริสต์ ถึงขั้นไหน”

หลวงพ่อตอบว่า “ศาสนาคริสต์ถึงแค่ชั้นสวรรค์ ส่วนศาสนาพุทธถึงขั้นนิพพาน คือไม่ต้องกลับมาเกิดอีก”

ข้าพเจ้าเมื่อได้ทราบจากคำอธิบายของหลวงพ่อแล้ว จึงเข้าใจ และอยากไปนิพพานในชาตินี้ เพราะว่าชีวิตข้าพเจ้ามีแต่ความทุกข์ ข้าพเจ้าไม่ขอเกิดอีก

เมื่อมารดาของข้าพเจ้าเสียชีวิตไป หลวงพ่อก็ช่วยได้ ช่วยได้แค่สวรรค์ หลวงพ่อท่านสร้างพระเงินและพระทององค์ละสลึง และให้ถวายสังฆทาน มีพระหน้าตัก ๕ นิ้ว ผ้าไตร และอาหารคาวหวาน โดยอุทิศเจาะจงไปให้ แม่ข้าพเจ้าที่ตายไปแล้ว หลวงพ่อเล่าให้ฟังหมดเลยว่า แม่ข้าพเจ้ามีลักษณะรูปร่างเป็นอย่างนั้นๆ เคยทำบุญอะไรไว้บ้าง ข้าพเจ้าก็ไปถามเตี่ยดู เตี่ยยืนยันว่าแม่ทำอย่างนั้นจริง เลยเชื่อทุกอย่าง

เวลาไปรับหลวงพ่อ พอผ่านศาลเจ้า หลวงพ่อจะคุยกับเทวดาที่ศาลเจ้า และบอกให้ช่วยคุ้มครองข้าพเจ้า เทวดาที่ศาลเจ้าก็บอกว่า ท่านคุ้มครองข้าพเจ้าอยู่แล้ว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อไปเชิญศาลพระภูมิ เทวดาท่านมาทวงว่าทำผิดไว้ที่ป่า ท่านมาทวงเรื่องไปทำบุญแก้บน บอกว่าไปทำบุญแก้บน ตอนเย็นนั้นใช้ไม่ได้ ท่านรับไม่ได้ ต้องไปทำบุญแก้บนก่อนเพล สาเหตุนี้ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ไม่โต หลวงพ่อท่านก็สามารถรู้ได้และเป็นเรื่องจริง

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ภรรยาข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลง ข้าพเจ้าก็รีบส่งจดหมายถึงหลวงพ่อ พร้อมทั้งถวายปัจจัย ๑๐,๐๐๐ บาท เพื่อหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์อุทิศกุศลให้แก่ภรรยาข้าพเจ้าที่เสียชีวิตไป

ข้าพเจ้าได้ถามหลวงพ่อว่า “ภรรยาเขาไปลำบากไหม”

หลวงพ่อตอบว่า “เหลือแต่แกเท่านั้นที่ยังโง่อยู่ เขาไปสบายแล้ว”

เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าขาบวมเจ็บอยู่ ข้าพเจ้าก็นั่งกรรมฐาน นั่งอธิษฐานถึงหลวงพ่อเสมอๆ อยู่ๆ ข้าพเจ้าก็ได้รับพัสดุไปรษณีย์ บรรจุน้ำมนต์หลวงปู่ปาน ที่เจ้าหน้าที่ทางวัดท่าซุงได้จัดการส่งไปให้ข้าพเจ้าทางไปรษณีย์ ซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจว่าเพราะหลวงพ่อท่านคงรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นอะไร เพราะคนอื่นนั้นไม่มีใครรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร มีหลวงพ่อเท่านั้นที่รู้ ข้าพเจ้าจึงดีใจมาก เวลานั่งกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็กราบบูชาถึงหลวงพ่ออยู่เสมอ

เมื่อ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าไปบ้านน้องเมีย ข้าพเจ้ากินยาแก้ยอก เป็นยาชุด ๕ เม็ด เดินไม่ไหว จึงกินยานี้ กินแล้วมันไปกัดกระเพาะ ข้าพเจ้าก็เข้าไปที่ห้องน้ำ ถ่ายออกมาเป็นเลือด ทวารเปิด ถ่ายออกมา ๒ ลิตร ทวารเปิด มันไหลออกมาเอง ขณะถ่ายออกมา ข้าพเจ้าก็ภาวนา พุทโธๆ ๆ ไปเรื่อยๆ พอภาวนาไปๆ ข้าพเจ้าก็สลบไปเลย นานประมาณครึ่งชั่วโมง

พอฟื้นขึ้นมา ข้าพเจ้าก็ขออาราธนาบามีหลวงปู่ปาน บารมีหลวงพ่อ ขอให้ช่วยให้ข้าพเจ้าหาย เพราะว่า ถ้าหากข้าพเจ้าตายในห้องน้ำ เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าห้องน้ำไม่ได้ เพราะข้าพเจ้ามาพักที่บ้านน้องของภรรยา ไม่ใช่บ้านของตนเอง คิดอธิษฐานอย่างนี้ก็เลยหาย เขาไม่ให้กินข้าว ๓ วัน ให้แต่น้ำเกลือ พอรุ่งขึ้น ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ น้องชายอยากให้ข้าพเจ้าพามาหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็พาเขามาหาหลวงพ่อได้ นับว่าอัศจรรย์จริงๆ ที่ป่วยขนาดนี้พอฟื้นตัวได้บ้างไปหาหลวงพ่อได้

ข้าพเจ้าเจอประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อมาเรื่อยๆ นับเป็นเวลานานถึง ๓๙ – ๔๐ ปีแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบได้เห็นได้ยินมาด้วยตนเอง เป็นเรื่องจริง จึงมีความเคารพหลวงพ่อตลอดมา ข้าพเจ้าจึงนั่งสมาธิเสมอๆ และยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ เกิดมาก็มีความลำบาก ยิ่งขาบวมเจ็บอย่างนี้ ยิ่งมีความเบื่อเต็มที หวังว่าชีวิตจะได้หมดทุกข์เสียที ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายแล้วขอไปนิพพานเพียงอย่างเดียว

http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?fid=96&tid=1155&action=printable

No comments:

Post a Comment