Tuesday, March 22, 2011

ตะลึง ! มุสลิมอ้างสิทธิ์ "สร้างห้องละหมาด" ใน รร.วัดเทพลีลา ไม่ใช่แค่สวมฮิญาบใน รร.วัดเท่านั้น

เห็นธาตุแท้มุสลิมหรือยัง ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา ขนาดมาอาศัยที่วัดยังกร่างขนาดนี้ ต่อไปก็คงขอสร้างสุเหร่าคู่โรงพระอุโบสถในเขตวัดด้วย จะได้เป็นศาสนสถานถาวรตามสิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ








รายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก

ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ 2/2554 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ 5/2554 ลงวันที่ 4 มกราคม 2554 และ ที่ 237/2554 ลงวันที่ 20 มกราคม 2554 รายงานเกี่ยวกับกรณีวัดหนองจอก เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มีลิขิตแจ้งว่า โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกได้มีหนังสือหารือแนวทางปฏิบัติของนักเรียนและครู ซึ่งกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้นำไปลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยแลนด์ฟิกส์ และลงในเว็บไซต์ลงข่าวทั่วไป ทำให้วัดหนองจอกเกิดความเสียหายเป็นอย่างยิ่ง โดยแจ้งว่า กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติลงสื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกบริหารงานจัดการไม่เด็ดขาด ทำให้แตกความสามัคคี ครูพุทธกับครูมุสลิมในโรงเรียนแบ่งเป็นฝักฝ่าย ไม่ทำการสอนนักเรียนเหมือนเช่นเดิม แบ่งแยกความคิดคน 2 ศาสนา โดยมีทนายความ 2 คน กับนักเรียนหญิง 2 คน คลุมผ้าฮิญาบ อ้างว่ากฎหมายให้สิทธิมนุษยชนแก่ทุกคน เจ้าอาวาสวัดหนองจอก จึงได้ออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เพื่อให้ชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน เกิดความสามัคคีสงบสุข และขอให้เรียกผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกและทนายความกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติชี้แจงเกี่ยวกับข้อกฎหมายทางพระพุทธศาสนาว่า ที่ธรณีสงฆ์ที่กระทรวงศึกษาธิการเช่าซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดหนองจอกเพื่อสร้างโรงเรียน กับกฎหมายการแต่งกายเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนา การทำห้องละหมาด เป็นต้น ดังนั้น ในคราวประชุมคณะอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนา ครั้งที่ 57/2553 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 ได้มีมติให้คณะอนุกรรมาธิการฯ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบถามผู้เกี่ยวข้อง ผลการตรวจสอบมีดังนี้


ข้อเท็จจริง

วันพฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2553 คณะอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธ-ศาสนา ในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ อนุกรรมาธิการฯ ที่ปรึกษาประจำคณะอนุกรรมาธิการฯ และผู้อำนวยการกลุ่มงานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้เดินทางไปวัดหนองจอก และได้เข้าพบเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พร้อมทั้งพระเลขานุการ วัดหนองจอก และเจ้าคณะแขวงกระทุ่มราย พร้อมทั้งได้เชิญ ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก รองผู้อำนวยการฯ และผู้เกี่ยวข้องหารือเพื่อ หาทางแก้ไข โดยได้รับการชี้แจงดังนี้

เจ้าอาวาสวัดหนองจอก (พระครูบวรคุณาธาร) พร้อมด้วยพระเลขานุการ (พระครูสังฆรักษ์ อนันต์) และเจ้าคณะแขวงกระทุ่มราย (พระครูผาสุกิจโกวิท) ได้แจ้งว่า การอ้างสิทธิการแต่งกายตามหลักศาสนาของชาวมุสลิม โดยอ้างหลักสิทธิตามกฎหมายของกลุ่มทนายความหรือกลุ่มที่อ้างว่ากลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ทางวัดถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของวัด ซึ่งชุมชนวัดหนองจอกอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยมาเป็นเวลาช้านาน การอ้างสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายรัฐธรรมนูญพร้อมทั้งกล่าวหาว่าวัดหนองจอกก้าวก่ายงานของโรงเรียน เป็นการกล่าวที่ไม่สมควร

จากหลักฐานและข้อเท็จจริงซึ่ง นายประพันธ์ หลีสิน ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก ได้ชี้แจงพร้อมกับเอกสารที่เกี่ยวข้อง สรุปดังนี้

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2553 กรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร (นายเจริญ โต๊ะงิมา) ได้ยื่นหนังสือขอให้นักเรียนหญิง จำนวน 17 คน ที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก แต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามคลุมผ้าฮิญาบมาโรงเรียน ซึ่งได้แนบหนังสือร้องขอของผู้ปกครองทั้ง 17 คน มาด้วย ซึ่งโรงเรียนได้ตอบกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครที่ยื่นหนังสือไปแล้ว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2553 ว่า ไม่สามารถอนุญาตได้ตามระเบียบของโรงเรียน วัฒนธรรมโรงเรียน และความเหมาะสม เนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ในที่ของวัด

ต่อมา วันที่ 29 ตุลาคม 2553 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ได้ยื่นหนังสือขอให้ นักเรียนหญิงแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามอีกครั้ง โดยอ้างหลักศาสนาอิสลาม อ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งโรงเรียนได้รับเรื่องไว้เพื่อดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและตามอำนาจหน้าที่

แต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกตั้งแต่ชั้นมัธยม-ศึกษา ปีที่ 1 จำนวน 2 คน ได้แต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม โดยมีสัญลักษณ์เด่นชัดคือ การคลุมผ้าฮิญาบ ซึ่งโรงเรียนได้ขอให้นักเรียนแต่งกายปกติตามระเบียบของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกไปก่อน ระหว่างรอการพิจารณาดำเนินการ และโรงเรียนได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 หารือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยม-ศึกษา เขต 2 (สพม. 2) เพื่อขอทราบแนวปฏิบัติในระหว่างรอการตอบข้อหารือ/แนวปฏิบัติ จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 นั้น

โรงเรียนใช้วิธีเจรจาและให้เกียรติผู้ปกครองนักเรียน กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติและนักเรียน เพื่อบริหารความขัดแย้งดังกล่าว โดยผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกได้เปรียบเทียบให้ผู้ร้องขอทราบว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก สมัยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ฯ ปทุมธานี (ท.ศ.ป.) เมื่อปี 2550-2552 ซึ่งความขัดแย้งในการบริหารงานลำบาก แต่อนุญาตให้ใช้ภาพถ่ายพระพุทธรูปแทนได้ หรือการไม่อนุญาตให้นำพระบรมรูป (รูปปั้น) รัชกาลที่ 6 มาตั้งเพื่อประกอบพิธีในวันที่เกี่ยวกับลูกเสือ เช่น วันมหาธีรราชเจ้า เป็นต้น โรงเรียนก็ไม่นำมาตั้ง แต่ก็อนุญาตให้ใช้พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 6 มาทำพิธีได้ จึงทำให้สามารถบริหารโรงเรียนและอยู่ร่วมกันกับมัสยิด มีการประชาสัมพันธ์ชุมชนให้เข้าใจและมีความสุข ซึ่งการเปรียบเทียบกรณีโรงเรียนเทพศิรินทร์ฯ ปทุมธานี ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับครูที่นับถือศาสนา- อิสลามโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก จำนวน 10 คน ในวันเข้าค่ายคุณธรรมที่มัสยิด อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี และนักเรียนหญิง 11 คน ที่ผู้ปกครองยื่นขอแล้ว เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2553

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ได้ตอบข้อหารือแนวปฏิบัติ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553 โดยให้โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (ก.สถ.พฐ.) ของโรงเรียนเพื่อดำเนินการ ดังนั้น เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2553 โรงเรียนได้เชิญคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกคำขอ (หมายความว่า นักเรียนทั้ง 17 คน ต้องแต่งกายตามระเบียบของโรงเรียน โดยมีเหตุผลประกอบ คือ ระเบียบของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรมของโรงเรียนวัดหนองจอก ที่เข้าเรียนและจบไปแล้ว 57 รุ่น หรือ 57 ปี) และได้แจ้งสิทธิอุทธรณ์ไปยังนักเรียน ทั้ง 17 คน แล้ว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 โดยส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตามที่อยู่ที่ ผู้ปกครองทั้ง 17 คน ได้ระบุไว้ในคำขอ

ส่วนคำสั่งของเจ้าอาวาสวัดหนองจอก ที่สั่งให้ครูนักเรียนไม่ต้องแต่งกายแสดงสัญลักษณ์ทางศาสนานั้น พิจารณาแล้วเนื่องจากกระทบสิทธิของครู ซึ่งต่างจากนักเรียนที่มีกฎระเบียบอยู่แล้วชัดเจน โรงเรียนได้มีหนังสือหารือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 2 แล้วเช่นกัน เพื่อทราบแนวปฏิบัติในการดำเนินการต่อไป

และในกรณีที่เกิดขึ้น นายวิชัย ธรรมเจริญ ซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประมาณปี 2540 เศษ สมัยรับราชการอยู่ที่กรมการศาสนา ได้มีหนังสือจากเขตบางกะปิ โดยอ้างหนังสือร้องเรียนของ นายสามารถ มะลูลีม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร ในสมัยนั้น ได้อ้างนโยบายกระทรวงศึกษาธิการว่า โรงเรียนใดมีนักเรียนผู้นับถือศาสนาอิสลาม จะต้องจัดห้องละหมาดให้ด้วย แต่เจ้าอาวาสวัดเทพลีลาไม่อนุญาต เพราะโรงเรียนตั้งอยู่ในวัดทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงขอให้กรมการศาสนา กระทรวง-ศึกษาธิการ ดำเนินการขอให้วัดปฏิบัติตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ แต่กรมการศาสนาพิจารณาเห็นว่า กรมการศาสนาไม่มีอำนาจที่จะให้ดำเนินการใดๆ เพราะวัดเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนวัดและเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย การจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินการใดๆ ในเขตวัด หรือในที่ธรณีสงฆ์ของวัด เป็นอำนาจของเจ้าอาวาส ซึ่งต้องปฏิบัติไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย และจารีตประเพณี ที่เคยปฏิบัติมา จึงได้มีหนังสือแจ้งไปยังเขตบางกะปิ และเรื่องก็เงียบไป


ข้อพิจารณา

เนื่องจากการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องยึดถือการปฏิบัติตามหน้าที่ของคนไทยตามรัฐธรรมนูญด้วย โดยการปฏิบัติตามหลักศาสนา ลัทธิทางศาสนา และความเชื่อของตน แต่จะต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีงาม ตลอดถึงไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นด้วย ซึ่งมีกรณีตัวอย่างที่ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยม วัดหนองจอกได้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง และกรณีที่วัดเทพลีลาไม่อนุญาตให้โรงเรียนมัธยมวัดเทพลีลาจัดห้องละหมาดในเขตวัดเทพลีลามาแล้ว

คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องดังกล่าวมีความสำคัญในการให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา กรณีการแก้ไขวัดหนองจอกได้เสนอให้คณะสงฆ์วัดหนองจอกได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และให้โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก คณะครู กรรมการสถานศึกษา ได้ถือปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตามถือว่ามีความผิด และละเมิดสิทธิของวัดในฐานะที่เป็นนิติบุคคล


ในการนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ จึงขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำรายงานผลกรณีดังกล่าวนำกราบถวายกรรมการมหาเถรสมาคมในการประชุมได้รับทราบ โดยขอเสนอข้อควรปฏิบัติดังนี้

1. โรงเรียนหรือหน่วยราชการใดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ การใช้พื้นที่ต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วิถีไทยและวิถีพุทธ และกฎระเบียบของวัด

2. ให้คณะสงฆ์มีส่วนร่วมในการพิจารณาการแต่งตั้งผู้บริหารของโรงเรียน หรือหน่วยราชการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์

3. ควรให้พระสงฆ์เข้าไปมีบทบาทในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา หลักคุณธรรม จริยธรรมทุกระดับชั้น

4. โรงเรียนหรือหน่วยราชการใดขอใช้พื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ จักต้องหารือและได้รับความยินยอมจากเจ้าอาวาส และคณะสงฆ์ผู้ปกครองทุกระดับจนถึง เจ้าคณะจังหวัดก่อน

ที่ประชุมพิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบตามข้อเสนอที่ควรปฏิบัติทั้ง 4 ข้อ



ข่าว : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
23 มีนาคม 2554

ที่มา
http://www.alittlebuddha.com/

4 comments:

  1. อิสลามอยู่ทีไหน. ความวุ่นวายจะตามไปทุกหนแห่ง...คำว่าเพื่ิอสันติ..โกหกทุกคำ

    ReplyDelete
  2. อิสลามอยู่ทีไหน. ความวุ่นวายจะตามไปทุกหนแห่ง...คำว่าเพื่ิอสันติ..โกหกทุกคำ

    ReplyDelete
    Replies
    1. อิสลามเข้าใหนพังนั่น ตัวทำลายทั่วไปมุมโลก

      Delete
    2. อิสลามเข้าใหนพังนั่น ตัวทำลายทั่วไปมุมโลก

      Delete