Sunday, December 2, 2012

เปลี่ยนศาสนา หนีวิบาก(บาป)ได้หรือไม่?


ถาม: การเปลี่ยนศาสนาจะทำให้พ้นวิบากรรม จริงหรือคะ มีคนข้างบ้านเปลี่ยนศาสนา เพราะอยากพ้นวิบาก ถามด้วยความสงสัยอยากรู้จริงๆ

ดังตฤณวิสัชนา: การเปลี่ยนศาสนา มันก็เหมือนกับการเปลี่ยนเสื้อนะ เปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้่า ถามว่าเสื้อผ้านั้น จะทำให้เราหายร้อนหายหนาวได้หรือเปล่า แตกต่างจากชุดเดิมได้หรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับว่า เราใส่อย่างไรนะ แล้วมีการรักษาตัว แบบไหนด้วย เพราะว่าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเนี่ยะ เสื้อผ้าส่วนใหญ่ เนื้อผ้ามันก็บางเท่าๆกัน หนาเท่าๆ กันนั่นแหละ ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ว่าวิธีการที่เราใช้ชีวิตต่างหาก วิธีการที่เรารู้หลักในการหลบร้อนหลบหนาวต่างหาก ที่สำคัญกว่าการใส่เสื้อผ้า

อันนี้เปรียบเทียบแล้วก็เหมือนการนับถือศาสนาต่างๆ ถ้าเราจะเป็นผู้ที่มีความสุขความเจริญได้นะ ก็ต้องมีความเข้าใจในการใช้ชีวิต ในการที่เราจะนับถือศาสนาต่างๆ ให้มีความสุขความสบายใจ และไม่เบียดเบียนใคร ถ้าหากเปลี่ยนศาสนาแล้วยังประพฤติตนเหมือนเดิม มีความตระหนี่ถี่เหนียว ช่วยคนอื่นไม่เป็น แล้วก็มีใจตั้งไว้ว่า อยากทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจว่าผิดศีลผิดธรรมหรือเปล่า อันนี้เปลี่ยนศาสนาไป ไม่มีประโยชน์เลย ได้แต่หลอกตัวเองว่าเป็นคนของศาสนาไหน บอกใครๆว่าเรา นับถือพระ นับถือเจ้า นับถือพระเจ้านะ แต่ที่แท้แล้วข้างในเนี่ยะ ไม่ได้มีความศรัทธาที่แท้จริง ไม่ได้มีปัญญาอันเกิดจากการกระทำให้สอดคล้องกับศาสนานั้นๆ หลักของศาสนาๆ เป็นยังไง รู้ แต่ไม่ทำ นี่ก็เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนศาสนาด้วยปาก ไม่ใช่เปลี่ยนศาสนาด้วยใจ ไม่ใช่เปลี่ยนศาสนาด้วยกรรม อันเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนหรือว่าความเจริญรุ่งเรืองทั้งปวงในชีวิต

การที่จะพ้นวิบากหนึ่งๆ ได้ ก็โดยหลักที่พุทธศาสนาเราประกาศแจ้งไว้ก็คือมีอยู่สองประการ หลักๆ เลยก็คือ ว่า

กรรมเนี่ยมันถึงคราวอโหสิ คือ หมายความว่า หมดแรงให้ผล หมดกำลังที่จะส่งผล คือมันให้ผลมาจนหมดแล้ว มันก็ไม่มีอำนาจ ไม่มีความสามารถจะมาทำให้เราเดือดร้อนได้อีกต่อไป

การที่จะอโหสิต่อไปก็คือ เป็นพระอรหันต์ เข้านิพพานไปแล้ว อย่างนั้น กรรมก็ไม่รู้จะตามไปเล่นงานใคร

มันยังมีอีกก็คือว่า เราทำบุญ จนกระทั่งบุญเนี่ย มันเกิดผลเป็นปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่่ง่ายๆ นะ ลักษณะบุญที่เกิดผลเป็นปัจจุบันเนี่ย ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ
มามีศรัทธา มาศึกษาพระธรรมคำสอน  จนกระทั่งมีความเข้าใจ มีมุมมองอีกแบบหนึ่ง ที่จะสามารถถอนจากอาการยึดมั่นถือมั่นน้อยๆ หรือไม่ยึดมั่นอะไรเลย ถ้าหากว่าทำได้ถึงตรงนั้น นี่จะได้รับผลอันเป็นปัจจุบันทันที เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมอย่างหนึ่ง กรรมอันเหนือบุญบาปมันจะทำให้เราเหนือสุขเหนือทุกข์ได้ด้วย คือใจไม่เกาะเกี่ยว เกิดอะไรขึ้นก็เป็นเรื่องของสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตาไปเห็นสักแต่เป็นเรื่องของตา ไม่ใช่เรื่องของเรา หูไปได้ยินสักแต่เป็นเรื่องของหู ไม่ใช่เรื่องของเรา นี่ อย่างนี้
หูได้ยินไม่ใช่เราได้ยิน ตาเห็นไม่ใช่เราเป็นผู้เห็น ถ้าถึงซึ่งความเข้าใจหรือมุมมองแบบนั้นแล้วเนี่ยะ มันพ้นวิบากได้ด้วยใจ
คือ ยังไม่สามารถเอาตัวออกวงจรของการให้ผลทางกายน่ะนะ  ทางกายยังรับยังรู้ ยังโดนกระทบอยู่ แต่ว่าใจเนี่ยะมันไม่ยินดียินร้าย   คือมีสุขมีทุกข์ตามที่ถูกกระทบ แต่ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น มันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผัสสะต่างๆ มันกระทบเราได้ไม่กี่วินาที ใครมีวิธีที่จะเอาใจถอนออกมาจากสิ่งกระทบเท่านั้นแหละ ซึ่งทางพุทธศาสนาให้หลักการไว้ก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน

การเจริญสติปัฏฐาน ให้ผลชัดที่สุดก็คือว่า ผลกรรมยังเล่นงานอยู่ แต่ใจไม่เป็นทุกข์แล้ว ไม่พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย หรือถ้ายังต้องเป็นทุกข์อยู่ ก็ทุกข์น้อยลงมาก คือทุกข์เฉพาะตอนที่โดนกระทบ  แต่พอกระทบมันผ่านก็ไม่คิดมาก ไม่เก็บมาคิดต่อ  อย่างนี้เรียกว่าเป้นผู้ที่ลดแรง กระทบกระทั่ง เป็นผู้ที่สามารถที่จะเอาตัวออกมาจากกองทุกข์กองไฟ ที่เคยสร้างเหตุไว้

ถ้าหากว่านอกเหนือไปจากนี้  ไม่มีความรู้สึกเหมือนกับว่า  เราเป็นผู้ดู เราเป็นผู้รู้นะ ยังไงๆ เราก็ยังต้องเป็นผู้คลุกวงใน อยู่วันยันค่ำ  ไม่ว่าจะไปนับถือศาสนาไหน ประกาศตนว่าเป็นคนของใคร อันนี้ก็คือความเข้าใจโดยรวม ภาพความเข้าใจโดยรวมนี่สำคัญที่สุด

ถ้าหากว่าเรามองไม่ออกนะ การมานับถือศาสนาพุทธ เพื่อให้ได้อะไรทางใจ การไปนับถือศาสนาอื่น เพื่อให้ได้อะไรทางใจ
มันก็จะเป็นการได้แต่ ดีแต่บอก ดีแต่พูดนะ เป็นคนของศาสนาอะไร เป็นคนของใคร แต่ใจจริงๆ เนี่ยะอาจจะยังไม่ใช่ ยังเป็นคนธรรมดาที่ยังไม่รู้อยู่นั่นแหละ เอาละครับก็ถึงเวลาวันนี้ หมดเวลาของทางสปลีกเกอร์ดอทคอม ที่ให้เวลาไว้ครึ่งชั่วโมง

No comments:

Post a Comment