Thursday, October 21, 2010

โจโฉ จากคริสต์สู่พุทธได้จะใด




โจโฉ (จากคริสต์มาสู่พุทธได้จะใด)


โจโฉ .. นักร้อง ศิลปินเดี่ยว เจ้าของเพลง รอเธอเหงา จากค่ายเพลง บ้านลำดวน
นับถือคริสต์โดยกำเนิด เป็นคนสนใจศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง (สองนิกาย) จนเกือบจะได้เป็นบาตรหลวงแต่ปัจจุบัน ผมมอบชีวิตเป็นพุทธบูชา ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสรณะสูงสุดแล้ว
ผมเจอทางสว่าง และคำตอบของชีวิตทั้งหมดแล้ว . สาธุ ผมท่องพุทธธังสรณัง คัจฉามิ ด้วยความเข้าใจ และเป็นพุทธเต็มตัวซะที
โจโฉ (อนุสรณ์ ตรีโสภา)
.. นักร้อง ศิลปินเดี่ยว เจ้าของเพลง รอเธอเหงา จากค่ายเพลง บ้านลำดวน
นับถือคริสต์โดยกำเนิด เป็นคนสนใจศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง (สองนิกาย)
จนเกือบจะได้เป็นบาตรหลวงเพราะคุณแม่สนับสนุนอย่างแรง แต่คงเพราะความจริงจัง
ช่างคิด จะเชื่ออะไรต้องมีเหตุผล แต่สิ่งที่เรียนที่รู้ ตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้
หลายๆ อย่างไม่มีเหตุผลให้ปักใจเชื่อได้จริง จึงเริ่มแสวงหาคำตอบจากที่อื่น
ว่าเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ชีวิตคืออะไร ฯลฯ

โชคดีที่เกิดในเมืองพุทธ ถ้าไม่นับหลักสูตรพระพุทธศาสนาในโรงเรียน
ทีน่าเบื่อ ชวนให้ไม่สนใจ
นอกนั้นสิ่งรอบๆ ตัวล้วนมีอิทธิพลอย่างมาก ทั้งการสอดแทรกมาในสื่อต่างๆ
ที่มักจะมีธรรมะจากพุทธแทรกเข้ามา เช่น เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องโลกหลังความตาย
เรื่องบาปเรื่องบุญที่ซึบซับมาทางอ้อมแบบไม่รู้ตัว
เริ่มสะกิดใจตอนที่ต้องฟังพระเทศน์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ระหว่างรอดูการ์ตูนในช่วงเช้าวันอาทิตย์ .. ประโยคทีว่า
ไม่หายใจก็ตายแล้ว..คำนี้ทำให้เด็กไม่กี่ขวบหยุดนิ่ง และรู้สึกใจหายวาบ
เออ.. จริงซิ.. ความตายมันแค่นี้เอง แล้วเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
นี่คือ ประโยคจุดประกาย ที่ทำให้สนใจใฝ่รู้..

เป็นความโชคดี ที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านทุกอย่างที่มีให้อ่าน
ไม่เคยปิดกั้นตัวเอง
แม้จะเป็นความรู้ที่คิดว่าไม่เกี่ยวกับตนเอง หรือศาสนาของตน
- หนังสือโลกทิพย์- เป็นหนังสือเล่มแรกๆ
ที่จุดประกายให้ผมเข้ามาสนใจศาสนาพุทธ ด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ
และโลกหลังความตาย ฯลฯ
เป็นเรื่องที่ดูเหมือนงมงาย แต่ก็อ่านสนุก และเป็นความใฝ่รู้ที่มีมาแต่เดิม
คงเป็นเพราะตัวเองก็มีประสบการณ์แปลกๆ และหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
เช่น สภาวะคล้ายจิตออกจากร่าง ตอนเป็นเด็กทารกรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่ทุกอย่าง
แต่ต้องมาอยู่ในร่างเด็ก
แล้วพอจะพูดก็กลับกลายเป็นเสียงเด็กร้องไห้ การทีต้องจ๊ะเอ๋ กับงูมีหนวดตัวเบ้อเริ่ม
แทบหน้าชนหน้า ฯลฯ หลายๆอย่าง ทำให้รู้สึกอยากหาคำตอบให้ตัวเองตลอดเวลา

เมื่ออ่านสนุก ก็เลยอ่านมาเรื่อยๆ ก็ได้ซึมซับ เรื่องกฎแห่งกรรม นรก สวรรค์ และธรรมะ
จากพุทธไปโดยปริยาย แม้จะเชื่อไม่เต็มร้อย และยังเป็นคริสต์อยู่ก็ตาม
เวลาว่าง ก็จะหาหนังสือ แนวกฎแห่งกรรม ผีสางเทวดา
และประวัติพระดังๆ ที่ออกแนวลึกลับมาอ่าน
จนกระเถิบมาเป็นธรรมะในแนวปฎิบัติหลากหลายสาย
ด้วยเริ่มโตขึ้นทุกข์และปัญหาชีวิตก็มากขึ้นถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย
เบื่อโลก จึงอยากได้ทางดับทุกข์

ผมเกิดมามีทุกข์จนเกินบรรยาย เจอปัญหาในครอบครัว
เลยออกจากบ้านมาผจญโลกกว้างตั้งแต่เด็ก
ก็เจออีกหลากหลายปัญหา ไม่ซ้ำรูปแบบ กว่าจะมาถึงวันนี้
ก็พอเอาไปเขียนนิยายน้ำเน่าได้หลายตอนทีเดียว
ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรม เพราะมีทุกข์จึงสนใจธรรม มองโลกในแง่ดี ก็ดีนะ
เพราะถ้าสบายๆ ชีวิตมีแต่ความสุข คงไม่มาใส่ใจธรรมะขนาดนี้
ผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือ เวลาแก้ปัญหาให้คนอื่น ก็เข้าใจเขาง่าย เพราะเคยผ่านมาก่อน

เคยทุกข์มากๆ อยากตาย แล้วลองกำหนดลมหายใจเล่นๆ (ตอนนั้นยังนั่งสมาธิไม่เป็น)
ก็ปรากฎว่า เคลิ้มๆไปแล้วก็มีชีปะขาว หรือฤาษี มาปรากฎ แล้วบอกว่า
ไม่ต้องรีบตายหรอก ทำความดีไว้เยอะๆ อายุเท่านี้ จะมาเอาไปอยู่ด้วย
นี่เอง เป็นเหตุผลสำคัญเลย
ที่พอถึงครบรอบวันเกิดตามอายุที่ท่านบอก ผมก็เริ่มคิดได้ ตัดสินใจเลิกเหล้า
แล้วก่อนหน้านั้นก็พยายามทำบุญ ทำกุศลทุกอย่าง
คิดว่าถ้าต้องตายก็ขอตายแบบมีศีล
มีความดีติดตัวบ้างละกัน ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ตอนนั้นยังเป็นคริสต์
แต่กลับเชื่อเรื่องในทางพุทธ
และเชื่อว่า ต้องศีลห้าบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะได้สู่สุคติ ก็น่าแปลกนะ

ธรรมะคงจัดสรรให้ได้เจอของดี วันหนึ่งบังเอิญเปิดวิทยุเล่น ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
แล้วไปเจอพระเทศน์สนุกมากก็เลยติดใจ แล้วทุกวันเจอปัญหาต่างๆ กันไป
ก็น่าแปลก ที่ผมเปิดมั่วๆ ไม่ซ้ำคลื่น แต่ก็ต้องบังเอิญไปเจอ
พระท่านเทศน์ เรื่องที่กำลังมีปัญหาอยู่พอดี ทำให้สบายใจขึ้น
ก็เลยหันมาฟังธรรมะแบบจริงจังเกือบทั้งวัน
แล้วก็ซื้อหนังสือธรรมะในแนวทางปฎิบัติมาอ่าน มาฝึกเอง
ไปฝึกพลังจักรวาลมาด้วยความอยากรู้เฉยๆ ก็เลยทำให้สนใจการฝึกสมาธิไปด้วย
ก็เริ่มฝึกสมาธิบ้าง แต่เน้นไปทางทำทาน และสวดมนต์ซะมาก
ศึกษาอยู่ไม่นาน ก็เริ่มลึกซึ้ง และใจยอมรับว่า นี่คือ ทางดับทุกข์ได้จริง
นี่คือเหตุและผล ให้คำตอบกับเราได้จริง


คำว่า พุทธังสรณัง จึงกล่าวออกมาหน้าหิ้งพระ ได้อย่างเต็มปากหลังจากทีลังเลอยู่นาน
อารมณ์ของการเปลี่ยนศาสนาเป็นสิ่งที่ฝืนใจอย่างมากนะ
เพราะต้องใช้กำลังใจค่อนข้างเยอะในการ จะมอบชีวิตให้พระศาสดาองค์ใดได้

แต่ผมก็ใช้เหตุผลประกอบการคิดตลอด มองด้วยใจว่า คำสอนขอพระพุทธองค์ ดับทุกข์ได้จริง
และมีประโยชน์ทำให้ชีวิตผมมีความสุข
พระเยซูและพระเจ้าขึ้นชื่อว่าเมตตาต่อทุกคนเท่ากัน
หวังดีอยากให้ทุกคนมีความสุข ในเมื่อผมอยู่คริสต์แล้วผมไม่สุข หาคำตอบไม่ได้
แต่มาพุทธแล้ว
ผมเจริญในธรรมขึ้น เป็นคนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.
ท่านจะโกรธทำไม ท่านจะห้ามทำไม จะผิดตรงไหน
จิตท่านต้องบริสุทธิ์
แล้วต้องดีใจไปกับผมด้วยถึงจะถูกต่างหาก คิดอะไรไปเยอะแต่คงอธิบายไม่ถูก

ตอนนั้นเหมือนมันกระจ่างเลยนะ เหมือนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับพระเยซู แล้วมั่นใจเชื่อว่า
ท่านยิ้มรับและโมทนาที่ผมมีทางเดินในการพัฒนาจิตของตนเอง
เหมือนคนที่เจอโรงเรียนที่เหมาะสมกับตัวเอง

ศาสนาก็เหมือนโรงเรียนนะผมว่า มีหลายระดับชั้น และเหมาะกับคนต่างๆ กันไป
คนที่ใจกว้าง
และเปิดใจยอมรับ มีเหตุผลน่าจะเข้าใจ
คนดี เทวดาดี ต้องโมทนา ผมเชื่อย่างนั้น


พอคิดได้ดังนั้น ใจสว่างวาบ ผมยังเคารพพระเยซู ในฐานะครูคนแรก
และก็ร่วมกิจกรรมกับศาสนาอื่นได้

แต่ปัจจุบัน ผมมอบชีวิตเป็นพุทธบูชา ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสรณะสูงสุดแล้ว
ผมเจอทางสว่าง

และคำตอบของชีวิตทั้งหมดแล้ว . สาธุ …
ผมท่องพุทธธังสรณัง คัจฉามิ ด้วยความเข้าใจ

และเป็นพุทธเต็มตัวซะที

หลังจากเข้าพุทธแล้ว ศึกษาปฎิบัติมาอีกระยะ จึงพบว่า
ตัวเองพอจะมีความสามารถในการอธิบาย

หรือแนะนำคนอื่นได้บ้าง รวมถึงมีไอเดียดีๆ ในการเผยแพร่ศาสนาอีกแนวทางหนึ่ง
ที่ลงทุนน้อยได้ผลมาก
แล้วพูดกับเด็กๆ บางกลุ่ม ได้เข้าใจง่ายกว่า
ก็พยายามหาช่องทางซึ่งก็ค่อนข้างยากที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะก้าวไปทำงานเพื่อสังคม
โดยไม่มีปัจจัยสนับสนุน จึง เป็นที่มาของการตะกายดาว
ออกอัลบั้มหวังจะเอาชื่อเสียงมาผลักดัน

เพราะคนดังทำอะไรคนสนใจเยอะ ดึงเยาวชนได้ และหาคนสนับสนุนได้ง่าย
แต่ก็ยังพยายามอยู่ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย และคำครหานินทา ว่าอยากเด่น
อยากดัง ..ก็พยายามสู้ตลอดมา หวังว่าสักวันคงได้ทำสิ่งที่หวัง และมีคนเข้าใจ
(โปรดติดตามตอนต่อไป โจโฉ2 ในไม่ช้า)

โจโฉ2 (จากคริสต์มาสู่พุทธได้จะใด)


โจโฉ .. นักร้อง ศิลปินเดี่ยว เจ้าของเพลง รอเธอเหงา จากค่ายเพลง บ้านลำดวน
นับถือคริสต์โดยกำเนิด เป็นคนสนใจศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง
(
สองนิกาย) จนเกือบจะได้เป็นบาตรหลวง
แต่ปัจจุบัน ผมมอบชีวิตเป็นพุทธบูชา ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสรณะสูงสุดแล้ว ผมเจอทางสว่าง และคำตอบของชีวิตทั้งหมดแล้ว สาธุ ผมท่องพุทธธังสรณัง คัจฉามิ ด้วยความเข้าใจ และเป็นพุทธเต็มตัวซะที
-ธรรมะให้อะไรกับตัวเองบ้าง เปลี่ยนทัศนคติยังไง

ธรรมะให้คำตอบทุกอย่างในชีวิต ให้ผมได้พบความสุขอันแท้จริง เข้าใจบาปบุญ
เปิดทางสว่างส่งเสริมให้ได้สร้างกุศล และงดเว้นบาป

ซึ่งถ้าไม่ศึกษาเราคงไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เราทำๆ
กันอยู่บางทีเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แต่หลงคิดว่ามันคือสุข
จริงๆ แล้วเป็นสุขจอมปลอมทั้งนั้น
ใครก็อยากให้ตัวเองมีความสุข แต่ไม่ค่อยรู้กันหรอกว่า ความสุขมันคืออะไร
แล้วสุขแท้ๆ สุขนานๆ ทำได้อย่างไร ถ้าไม่ศึกษาธรรม
ก็มีแต่จะพลาด จะก่อบาปก่อกรรม
และตกต่ำลงทุกที หลายคนชอบคิดว่า ไม่เบียดเบียนคนอื่น เป็นคนดี
ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็พอแล้ว
คิดไปกระทั่งว่า กินเหล้า ไม่เดือดร้อนใคร
ไม่เห็นต้องบาป ไม่เห็นจะเป็นความทุกข์

นี่หละ โทษของการไม่ศึกษาธรรมะให้ลึกซึ้ง
ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ เราจะเห็นโลกเปลี่ยนไป
บาปเล็กน้อยแค่คิดในใจ ก็ส่งให้เราทุกข์มากมาย
ก่อนตายจิตขุ่นมัวแค่รำคาญแมงวันมาบินตรงหน้า ก็ตกนรกได้
แม้จะทำความดีมามากมายก่ายกอง แล้วธรรมดาของจิต มันจะไหลลงต่ำ
ถ้าไม่ฝืน ไม่พัฒนา ไม่ทวนกระแส มันจะต่ำลงเรื่อยๆ
แต่ส่วนใหญ่เราไม่มีเวลามาสังเกตุ
เพราะเอาจิตไปรับอารมณ์ภายนอกหมด ไม่เชื่อ
ลองนั่งอยู่เฉยๆ ซักชั่วโมงซิ ดูซิว่าจิตมันจะสงบสุขหรือเปล่
า สำหรับคนที่ยังไม่หลุดพ้น ถ้าไม่กดข่มมันไว้ด้วยสมาธิมันจะฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ
และเห็นทุกข์ชัดเลย จะเห็นเลยว่าจริงๆ จิตมันพร้อมจะไหลลงต่ำ
และมีความทุกข์อย่างมาก แต่ที่เราคิดว่าสุข
เพราะเราเอาจิตไปรับอารมณ์อื่น บดบังความจริงไว้ เอาไปดูทีวี พูดคุย คิดเพ้อฝัน ฟังเพลง
เที่ยวเล่น มันเลยไม่เห็นของจริงว่า จริงๆ แล้วชีวิตมีแต่ความทุกข์
ไม่ศึกษาธรรมก็ไม่รู้ว่า มันมีการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเกิดใหม่ ก็ต้องมาเจอความทุกข์อีก
ทั้งความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ แม้จะเป็นคนดีแค่ไหน มันก็ต้องเจอสิ่งเหล่านี้
ธรรมะทำให้ปล่อยวางและเข้าใจจนหมดกิเลส
ไม่ต้องกลับมาเกิด มาทุกข์อีก อันนี้เอาแค่ทุกข์ทั่วไปนะ ยังไม่นับ คนที่ผิดศีล ผิดธรรม
เผลอทำบาปต้องตกนรก ชดใช้กรรม ต้องเกิดมาพิการและโชคร้าย ต่างๆ นานาๆ อีก
คนไม่ศึกษาธรรมจะไม่กลัวบาปเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ยิ่งอยู่ในสังคมที่คนชั่วเยอะ
ก็เห็นคนทำเยอะๆ กลับกลายเป็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาไม่บาปไปซะนั่น

เป็นคนดีอย่างเดียวพอจริงหรือ ถ้าไม่ฝึกจิต ไม่ศึกษาปฎิบัติธรรม
มันมีภูมิคุ้มกันไม่ให้ตกนรกลงอบายได้จริงหรือ ดูตัวอย่าง
คนดีหลายๆ คนที่โดนคนยั่วให้โกรธซิ ดีมาทั้งชีวิต
ยังเผลอฆ่าคนอื่นได้ ต้องไปรับกรรมอีกเท่าไหร่ กว่าจะหมดจะสิ้น
อย่าคิดว่าเป็นคนดีพอแล้ว เพราะคิดแบบนั้น
จะไม่มีทางดีได้จริงๆ เหมือนชาล้นถ้วย

ธรรมะทำให้มองโลกต่างไป ปล่อยวางได้ง่าย ไม่ลุ่มหลงเหมือนกับคนทั่วไป
ต้องแยกแยะนะครับปล่อยวาง สมถะ ไม่ได้หมายถึงต้องทำตัวเชยๆ ไร้ความร่าเริง
ตัดขาดทั้งหมด เพียงแต่เราก็มีชีวิตปกติ
ทำอะไรความเหมาะสมกับฐานะ อาชีพ และสังคมที่เราอยู่
ไม่ได้เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น
อยู่ในกรอบของศีลและธรรม ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินฐานะ มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่เดือดร้อนอะไร สบายๆ
ทำตัวเหมือนคนปกติ แต่ไม่หลงไปยึดเป็นของเรา หรือให้ความสำคัญกับโลกเท่าไหร่
เพราะเห็นเป็นสิ่งไร้สาระ แต่เราก็ต้องอยู่ในโลกไร้สาระให้กลมกลืนกับเขาด้วย
ไม่ใช่ ผมเป็นนักร้อง แล้วต้องพูดช้าๆ เรียบร้อย
ทำผมแต่งตัวเชยๆ นุ่งขาว หัวเกรียน ขี้เล่นไม่ได้ ฯลฯ
ทุกวันนี้ ใครเจอผมเขาก็เห็นผมเป็นคนธรรมดา เหมือนคนหลงโลกทั่วไปนะ
ออกแนวบ้าๆ ด้วยซ้ำ
เหมือนกิเลสไม่ได้ลดลง แต่ภายในใจจะมีซักกี่คนที่เข้าถึงว่า ธรรมะมันอยู่ในใจจริงๆ
จะปรากฎออกมาตอนคับขัน
และวัดกันตอนต้องพิสูจน์ใจในการทำกุศลหรือทำชั่วใส่ตัวนั่นแหละ กิเลสมันมีหลายตัว
บางคนก็ต้องใช้เวลากำจัดบางอย่างนานหน่อย อย่ามองแค่ภายนอก
หรือบางอิริยาบถ บางการกระทำ
แล้วตัดสินว่าใครเป็นยังไงหล่ะ อย่างน้อยคนเข้าวัด ศึกษาธรรม
แม้จะออกมาดูไม่เหมือนคนดี
แต่ก็ยังดีกว่าคนไม่ศึกษาไม่ปฎิบัติเลย คนที่เขาเป็นโรคและหมั่นไปฉีดยาระงับอาการ
แม้ยังไม่หายขาด แต่วันหนึ่ง มันต้องหาย คนดีๆที่อยู่ท่ามกลางเชื้อโรค แม้จะยังไม่เป็นโรค
แต่ไม่เคยสนใจไปเรียนรู้ เรื่องการรักษาสุขภาพ และฉีดยาป้องกัน
วันหนึ่ง ติดโรคมาแล้ว จะทรมานกว่าหลายเท่านะ
(โปรดติดตามตอนต่อไปในไม่ช้า)

No comments:

Post a Comment