เยี่ยมชุมชนคนไทยในมาเลเซีย/วินิจ รังผึ้ง
สถานการณ์ความวุ่นวายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยยังคงเป็นปัญหาที่คนไทยทุกคนกังวลใจ และภาวนาให้ความสงบเรียบร้อยหวนคืนกลับมาดังเดิมโดยเร็ว ในขณะที่พื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทยเรานั้นมีพี่น้องชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม และพูดภาษายาวีเป็นส่วนใหญ่ แต่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้หรือเคยรู้และลืมไปว่าในประเทศมาเลเซียนั้นก็มีชุมชนคนไทยในมาเลเซียที่เป็นประชากรชาวมาเลเซีย แต่ยังคงพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนและใช้ภาษาไทยกันในชีวิตประจำวัน มีวิถีความเป็นอยู่แบบไทยๆ และยังคงนับถือพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่น มีวัฒนธรรม ประเพณีที่แสดงถึงความเป็นไทยอย่างเข้มแข็ง ซึ่งคนไทยเหล่านี้เป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐเคดะห์ รัฐปีนัง ปะลิส กลันตัน ตรังกานู และเปรัค ของมาเลเซียในปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ราว1 แสนคนด้วยกัน
คนไทยเหล่านี้มิใช่กลุ่มคนไทยที่เดินทางเข้าไปทำมาหากินในมาเลเซีย ไม่ใช่ประเภทเข้าไปทำร้านต้มยำกุ้ง ไม่ใช่พวกกลุ่มคนสองสัญชาติที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน แต่พวกเขาเป็นคนสัญชาติมาเลเซียอย่างเต็มตัว แต่เป็นคนมาเลเซียเชื้อชาติไทย ที่อาศัยอยู่ในดินแดนอันเป็นบ้านเกิดบริเวณนั้นมาตั้งแต่โบราณ ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์เสียอีก เขาอยู่กินบนผืนดินนั้นกันอย่างเป็นไทยมากว่า 200 ปี หรือบางหมู่บ้านอย่างบ้านทุ่งควายใน รัฐเคดะห์นั้นมีหลักฐานเก่าแก่ที่บ่งบอกว่าอยู่กันมายาวนานกว่า 500 ปีเลยทีเดียว แต่เมื่อเส้นแบ่งดินแดนต้องถูกขีดใหม่ แบ่งแยกใหม่สมัยอังกฤษเข้ายึดครองมาเลเซีย และไทยต้องเสียดินแดนหัวเมืองมลายูบริเวณนี้ให้กับอังกฤษไปในปี พ.ศ. 2452 ตามสนธิสัญญากรุงเทพฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในบังคับอังกฤษในประเทศไทย โดยไทยต้องเสียเมือง ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิสให้แก่อังกฤษ รวมพื้นที่ถึงราว 15,000 ตารางไมล์และตกทอดไปอยู่ในปกครองของมาเลเซียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ซึ่งอังกฤษคืนเอกราชให้กับมาเลเซีย ดินแดนดังกล่าวก็ตกอยู่ในครอบครองของมาเลเซียมาจนปัจจุบัน
หากพูดถึงคนมาเลย์เชื้อสายไทยในเคดะห์ ปีนัง และเปอร์ลิสนั้นหลายคนอาจจะมองไม่เห็นภาพเท่าไหร่ แต่หากบอกว่าเคดะห์นั้นก็คือเมืองไทรบุรี และปีนังนั้นก็คือเกาะหมาก และเปอร์ลิสก็คือเมืองปะลิสของไทยในอดีตนั่นเอง หลายคนก็คงจะเกิดความเข้าใจและนึกภาพได้แจ่มชัดมากขึ้น แม้ปัจจุบันพวกเขาจะเป็นชาวมาเลเซียไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีความเป็นไทยอยู่เต็มตัวทั้งสายเลือดและวิถีชีวิต ผมจึงจะขอเรียกพวกเขาว่าเป็นคนไทยในมาเลซียมากกว่าที่จะเรียกว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย หรือเรียกว่าเป็น “คนไท” ที่หมายถึงพี่น้องที่ใช้ภาษาตระกูลไท และมีวิถีวัฒนธรรมตามวิถีของชาวเผ่าไทซึ่งอาศัยอยู่นอกประเทศไทย เช่นชาวไทลื้อในสิบสองปันนา หรือชาวไทใหญ่ในพม่า ชาวไทดำในเวียดนาม แต่คนไทยในมาเลเซียเหล่านี้ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาก็เป็นคนไทยในผืนแผ่นดินไทยผืนเดียวกันนี้ แต่ได้ถูกขีดเส้นตัดแบ่งในยุคสมัยของการล่าอาณานิคมของจักรวรรษนิยมอังกฤษเท่านั้น
แทบไม่น่าเชื่อครับว่าคนไทยเหล่านี้ยังคงมีความเป็นไทยอย่างเหนียวแน่น นับถือพระพุทธศาสนากันอย่างเคร่งครัด และแนบแน่นกับวัดกับพระพุทธศาสนาอันเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของพวกเขามากยิ่งกว่าคนไทยในเมืองไทยปัจจุบันเสียอีก แทบไม่น่าเชื่อว่าในรัฐเคดะห์นั้นมีวัดที่มีรูปร่างหน้าตาของโบสถ์วิหารศาลาการเปรียญ เหมือนวัดในเมืองไทยอยู่มากมายถึง 50 วัด ส่วนในรัฐปีนังนั้นมีวัดใหญ่ๆอยู่บนเกาะถึง 5 วัด และอยู่นอกเกาะอีก 5 วัด ในเมืองปะลิส มีวัด 10 วัด และมีวัดกระจายอยู่ในกลันตัน ตรังกานูและเปรัค อีกมากมายหลายวัด ชื่อหมู่บ้านต่างๆในชุมชนคนไทยยังคงมีชื่อหมู่บ้านอย่างไทยๆ เช่น บ้านทุ่งควาย บ้านนาข่า บ้านจันทร์หอม บ้านประดู่ บ้านทุ่งพลู เป็นต้น หนำซ้ำทางเข้าหมู่บ้านบางแห่งยังมีป้ายชื่อภาษาไทยไว้หน้าหมู่บ้านเสียอีก และที่สำคัญภายในบ้านของพวกเขามักจะมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ประดับไว้บูชาเป็นมิ่งขวัญ เมื่อมีงานบุญงานเทศกาลทางพระพุทธศาสนาพวกเขาจะพร้อมใจมาทำบุญที่วัดกันพร้อมหน้า พูดจาสื่อสารกันด้วยภาษาไทย แม้นคนไทยในมาเลเซียเหล่านี้ซึ่งปัจจุบันเป็นคนรุ่นที่เกิดในมาเลเซีย และพูดได้อย่างน้อยถึง 3 ภาษาคือภาษามาเลเซีย ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย บางคนยังพูดภาษาจีนได้เป็นภาษาที่ 4 แต่ในชีวิตประจำวันพวกเขายังรักภาษาไทยและใช้ภาษาไทยกันในครอบครัว ดูโทรทัศน์ช่องต่างๆจากเมืองไทย และเมื่อมีกีฬาระดับประเทศก็ยังเชียร์ทีมไทยไม่เว้นแม้การดวลเซปักตระกร้อระหว่างไทย-มาเลเซีย คนไทยในมาเลเซียยังเชียร์ทีมไทยกันอย่างสนุกสนานและออกนอกหน้า แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกพวกเขาเป็น “คนไทย” ในมาเลเซียได้อย่างไร
เมื่อสายเลือดแห่งความเป็นคนไทยยังคงเข้มข้นและมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นที่เขม่นจากชาวมาเลเซียและรัฐบาลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลมาเลเซียนั้นมีกฎหมายที่กำหนดให้สิทธิพิเศษกับคนมาเลเซียเชื้อสายมาเลเซีย และที่สำคัญต้องนับถือศาสนาอิสลามให้เป็น “ภูมิบุตรา” โดยผู้ที่เป็นภูมิบุตราจะได้สิทธิประโยชน์และความช่วยเหลือจากรัฐมากมายมหาศาล เช่นสามารถซื้อและครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินได้ทุกแห่งในประเทศมาเลเซีย ในขณะที่ชาวมาเลเซียเชื้อสายอื่นๆ เช่นชาวมาเลย์เชื้อสายจีน ชาวมาเลเชื้อสายอินเดีย หรือเชื้อสายไทยนั้นไม่ได้รับสิทธิ์เช่นนั้น จะสามารถซื้อที่ดินได้เฉพาะโซนที่เป็นนานาชาติซึ่งรัฐบาลกำหนดเท่านั้น เช่นบริเวณที่อยู่อาศัยดั้งเดิมในภูมิลำเนาของตน หรือโซนนานาชาติที่ราคาที่ดินสูงลิ่วกว่าพื้นที่ปรกติหลายเท่าตัวเป็นต้น นอกจากนี้สิทธิทางการเมือง และสวัสดิการต่างๆเช่น การรักษาพยาบาล การเข้าศึกษา การเข้าทำงานราชการ ยังมีความไม่เท่าเทียมกับบรรดาภูมิบุตราทั้งหลาย ว่ากันว่าแม้แต่การสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย บรรดาภูมิบุตราก็ยังมีคะแนนพิเศษช่วยเหลือเลย มิน่าผู้นำไทยในอดีตบางคนคงแอบเลียนแบบนำเอานโยบายภูมิบุตรามาใช้ จนมีข่าวกรณีขโมยข้อสอบมาให้ “ภูมิบุตรี” เป็นที่เคลือบแคลงของคนในสังคมในช่วงที่ผ่านมา
จะว่าไปแล้วนโยบายภูมิบุตราของรัฐบาลมาเลเซียนั้นก็มีส่วนดีอยู่บ้างในการที่รัฐบาลต้องการดูแลปกป้องผู้คนที่เป็นประชาชนดั้งเดิมของตนเอง ไม่ได้เปิดประเทศ ขายประเทศ จนโล่งโจ้งล่อนจ้อน ขายทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งขายชาติจนลูกหลานแทบไม่เหลืออะไรเหมือนรัฐบาลที่อยากเป็นเศรษฐีใหม่บางประเทศ แต่นโยบายการแบ่งแยกและให้สิทธิช่วยเหลือมากมายจนคล้ายๆกับนโยบายประชานิยมเช่นนั้นก็มีผลเสียอยู่ไม่น้อย ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คงเป็นการสร้างความแตกแยกลึกๆขึ้นในชาติระหว่างประชาชนที่มีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติ และเป็นการสร้างนิสัยให้บรรดาภูมิบุตราที่เกิดมาปุ๊บก็ได้รับอภิสิทธิ์โดยไม่ต้องไปสมัครบัตรเครดิต เกิดความรู้สึกว่าไม่ต้องขวนขวายขยันขันแข็งอะไรมากมาย เดี๋ยวรัฐบาลก็ช่วยเหลือด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในขณะที่เด็กชาวมาเลเซียเชื้อชาติอื่นๆ แม้นบรรพบุรุษจะเกิดในมาเลเซียสืบกันมาหลายรุ่นจนดูอย่างไรก็เป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากเป็นมาเลเซีย แต่เวรกรรมเกิดมาผิวขาวตาหยีมีเชื้อสายจีน หรือตัวดำปี๋เพราะมีเชื้อสายอินเดีย หรือหน้าตาผิวพรรณคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออกอย่างเชื้อสายไทย แต่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่ได้รับสิทธิเป็นภูมิบุตราอย่างสมบูรณ์แบบ ชาวมาเลเซียเชื้อชาติอื่นๆที่เป็นคนส่วนน้อย หรือประชาชนชั้นสองของมาเลเซียเหล่านี้จึงมีความรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันที่รัฐบาลมอบให้เป็นของขวัญมาตั้งแต่เกิด แทนที่จะรีบปรับตัวหรือยอมเปลี่ยนศาสนาไปนับถืออิสลามเพื่อให้ได้รับสิทธิ์เป็นภูมิบุตราอย่างสมบูรณ์ คนกลุ่มน้อยเหล่านี้ก็มักจะนำเอาความไม่เท่าเทียมที่รัฐบาลมอบให้เหล่านี้มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่จะขยันขันแข็งตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียน ขยันขันแข็งทำกิจการงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว จนกระทั่งในปัจจุบันคนมาเลย์เชื้อสายจีน คนมาเลย์เชื้อสายอินเดีย ที่ขยันขันแข็งทำมาค้าขายก็กลายเป็นผู้คุมเศรษฐกิจการค้าในย่านความเจริญของเมืองใหญ่อย่างเช่นปีนังนั้นคนมาเลย์เชื้อสายจีนคุมเศรษฐกิจการค้าไปทั้งเมืองเป็นต้น ในขณะคนมาเลย์เชื้อสายไทยนั้นก็คุมพื้นที่ทางการเกษตรโดยเฉพาะรัฐเคดะห์นั้นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของประเทศ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของมาเลเซียเลยทีเดียวเพราะเคดะห์รัฐเดียวนั้นสามารถผลิตข้าวได้กว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวจากทั่วประเทศของมาเลเซียเลยทีเดียว โชคยังดีนะครับที่รัฐบาลมาเลเซียยังมีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นทรัพยากรสำคัญที่รัฐยังผูกขาดและยึดครองไว้ได้ ไม่เช่นนั้นก็คงจะย่ำแย่และคงไม่สามารถจะมีเงินมีทองมาพัฒนาประเทศชาติและอุ้มนโยบายประชานิยมได้อย่างเช่นในปัจจุบัน
ผมกำลังจะพาท่านผู้อ่านไปเยี่ยมเยือนชุมชนคนไทยในมาเลเซียที่รัฐเคดะห์และปีนัง ไปดูวัดวาอารามที่นั่น ไปไหว้พระ ไปทำบุญร่วมกับคนไทยที่นั่น ไปกินข้าวหม้อแกงหม้อที่วัด พูดจาภาษาไทยกับคนที่วันนี้เขามิได้เป็นคนไทยในทะเบียนบ้าน แต่สามารถพูดจาสื่อสารกันด้วยภาษาไทยอย่างชัดหูไม่ต่างกับอยู่ในประเทศไทย และยังคงมีเลือดเนื้อเชื้อขัย มีจิตใจ มีวิญญาณของความเป็นไทยอยู่อย่างเต็มเปี่ยม คงต้องขอยกไปต่อกันในสัปดาห์หน้าแล้วครับ
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000029350
No comments:
Post a Comment