Tuesday, October 29, 2013

นาคปูร์

 คนที่ไปไหว้พระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดียนั้น ต้องมีความศรัทธาจริงๆ ถึงไปกัน ผมก็เช่นกัน ไปแล้วไปอีกหลายครั้งหลายหน ไปทั้งคณะทัวร์และไปเองส่วนตัวเป็นเดือนๆ ก็ไปมาแล้ว เพราะเรารักเคารพพระพุทธเจ้า!
    สังเวชนีย์ 4 แห่งที่เราไปล้วนแต่เป็นป่าอินเดียทั้งสิ้น เราก็ไป คนที่ไปอินเดียถ้าใจไม่ซึ้งในคำสอนของพระพุทธองค์ เห็นอินเดียเข้าแล้วถ้าไม่มีความศรัทธาพระพุทธองค์จริง! ก็จะระอา
    บางคนถึงกับหลุดปากออกมาว่า ต่อไปใครมาจ้าง 10 ล้านฉันก็ไม่ไปอินเดีย สกปรกจะตาย!
    ผมฟังแล้วก็คิด อาจารย์ผู้หญิงคนนี้เขาไปอินเดียมีจุดหมายอะไร?
    ถ้าเราจะพูดกันจากหัวใจจริง ถ้าไม่มีความสำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดยตรงแล้ว เราจะไปไหมที่สังเวชนีย์ 4 แห่งนั้น
    คงไม่ไปแน่ นี่เราไปเพราะพุทธองค์แท้ๆ ไปอินเดียเพราะรักและศรัทธาพระพุทธเจ้า ที่ท่านชี้ธรรมะให้เราได้เห็น แล้วจะปฏิบัติกันมีสุข พ้นทุกข์
    อินเดียที่ไปเป็นป่า เป็นแหล่งคนจนสกปรกก็สกปรกอยู่กัน อินเดียทำไมเป็นอย่างนี้ จะกินก็ลำบากรส! กลิ่นตัวแขกบางคนก็เหม็น บอกตรงๆ ผมไม่นึกว่าอินเดียมีอะไรดี แต่ก็ไปเพราะพระพุทธเจ้า
    แม้แต่เมืองพาราณสี ถ้าไม่มีแม่น้ำคงคาและมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก! ใครจะไป.....
    ผมกับคุณโกตั้ม 2 คน ออกจากวัดไทยสารนาถไปสถานีรถไฟมุกัล สาหร่าย (MUGHAL SARAI) รถไฟออกเวลา 9 โมงเช้าเศษ แล้วไปถึงสถานีนาคปูร์ (NAGPUR) รัฐมหาราษฏระตี 4 กว่า คิดแล้วประมาณ 15 ชั่วโมง ระยะทาง 1,045 กม.
    สถานีรถไฟใหญ่มาก เราเดินออกมาเช่ารถไปพักโรงแรมค่อนข้างถูก คือคืนละ 1,600 รูปี (800 บาท) หลับต่อเพื่อร่างกายจะได้สบายๆ เพราะนอนมาในรถไฟหลับไม่สนิท รถตู้นอนก็มีถึง 3 ชั้น รู้สึกคับแคบ โดยเฉพาะชั้นกลางที่นอน
    8 โมงกว่าตื่นขึ้นมากินข้าวอาบน้ำ เรานั่งรถตุ๊กๆ ไปวัดพุทธอินเดีย คือวัดมหากัสสปะ เพื่อพบพระรูปหนึ่งที่นั่น
    ผมชักเริ่มแปลกใจ ทำไมเมืองนาคปูร์จึงใหญ่โตสะอาดสะอ้าน ห้างร้านและคนรกมากยังกับกรุงเทพฯ บ้านเรา
    ฮึ....ทำไมไม่เหมือนเมืองอินเดีย ที่สังเวชนียสถาน 4 แห่งนั้นเล่า ไม่ว่าแห่งไหน แม้แต่เมืองสาวัตถี วัดเชตวัน ล้วนแต่เป็นบ้านป่าเมืองจนๆ เก่าๆ กันทั้งนั้น
    มาแล้ว.....มาอีก มาไหว้พระพุทธเจ้า ก็เห็นอินเดียแต่สภาพอย่างนี้ ทนกันมาเพราะรักพระพุทธเจ้ากันแท้ๆ
    รถตุ๊กๆ มาหยุดจอดที่หน้าวัดมหากัสสปะใกล้ๆ นั้นวัดก็ดูเหมือนศาลเจ้าคนจีนเล็กๆ บ้านเรา แล้วเข้าไปรับพระ ดร.ญาณทิพย์ที่อยู่รูปเดียวที่วัดนี้
    พระ ดร.ญาณทิพย์เป็นคนเกิดมหาราษฏระ อายุ 38 ปี เรียนจบที่มหาวิทยาลัยนาคปูร์ ปริญญาเอกสาขาบาลี เคยมาอยู่เมืองไทย 2 ปี ที่จังหวัดอุบลฯ และสุรินทร์ และเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยบุรีรัมย์
    พอเห็นหน้า ท่านยิ้มให้ก็จำได้ ท่านไปวัดไทยสารนาถ เคยเห็นกันมาก่อน
    เรานั่งรถตุ๊กๆ กันทั้ง 3 พอจะออกจากวัดคุณโกตั้มพูดว่า
    "ลุง..ลุง! หมู่บ้านรอบๆ วัดนี้เป็นคนพุทธทั้งนั้นนะ"
    ผมมองชาวบ้าน เป็นแขกผิวพรรณคล้ายๆ กับเรา คือไม่สีดำมาก หน้าตาก็ดีๆ กันทุกคน และยิ้มแย้มแจ่มใสคล้ายคนไทยบ้านเราจริงๆ
    เออ...แขกอย่างนี้ซิ ช่างเหมือนคนบ้านเรา! ทำให้ลืมแขกตัวดำหน้าดำไปเลย!
    เมื่อเรานั่งรถเช่าออกจากวัดมหากัสสปะออกจากซอยหมู่บ้านมานิดหน่อย ก็ถึงถนนใหญ่ที่คนสัญจรไป-มา ผ่านคน บ้าน รถทุกชนิด ผ่านร้านค้าต่างๆ มันช่างใหญ่โตโอ่อ่าจริง!
    ไม่รู้โกตั้มและพระ ดร.ญาณทิพย์นั่งรถจะพาเราไปทางไหน? เราก็ไป ไม่ถาม
    "ลุง..ลุง เมืองนาคปูร์เป็นเซ็นเตอร์ของรัฐมหาราษฏระ เป็นเมืองคนพุทธแท้ๆ ที่เข้มแข็งมาก!"
    "ไม่ว่าฮินดูหรืออิสลาม ไม่กล้าทำอะไรกับคนเมืองพุทธที่อยู่นาคปูร์ที่นี่ ที่นี่พุทธศาสนาแข็งแรงมาก"
    เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญที่สุดที่ ดร.เอ็มเบคกาเปลี่ยนแปลงศาสนาจากคนฮินดูมาเป็นนับถือพุทธ คนเป็นล้านคนได้ในวันเดียวเท่านั้น" ดร.ธัมมา รัศมี (โกตั้ม) เล่า
    เพราะทั้งโกตั้มและพระ ดร.ญาณทิพย์ต่างก็เป็นลูกเกิดรัฐมหาราษฏระด้วยกัน!
    ดร.เอ็มเบคกา...พูดวันที่ 14 ต.ค. 2500 คนเมืองนาคปูร์มารวมตัวกันฟัง 7 แสนคน คนเต็มไปหมด พอวันที่ 16 ตุลาคม ชาวจันทปูร์มาอีก 3 แสนคน
    รวมคนกันแค่ 2 เมืองก็ล้านคน! มาเปลี่ยนใจนับถือพุทธ มาแสดงตนเป็นพุทธมามกะที่นาคปูร์นี่
    คุยกันเรื่อยมาในรถเช่า แล้วรถก็มาหยุดจอดหน้าวัดญี่ปุ่น ชื่อเป็นภาษาอังกฤษตัวโตว่า DRAGON PALACE TEMPLE ผมให้ชื่อเองว่า "วัดวังมังกร" โดยจะมายิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าที่นี่ เมืองนาคปูร์นี้
    รถจอด เราเดินผ่านประตูใหญ่ ต้องถอดรองเท้าเดินเข้าไป มีคนเฝ้าบอกให้ถอดวางที่นี่ เขาเอารองเท้าเก็บใส่กระมังพลาสติก 3 คู่ เข้าที่ชั้นของเขา
    มองแต่ไกลก็เห็นวัดทรงญี่ปุ่น แต่ไม่มีพระ! มีแต่อุบาสิกา 2 ท่านอุปการะดูแลที่นี่ ตรงนี้เรียกว่าตำบลกัมตี Kamptee เป็นตำบลเล็กๆ ของนาคปูร์
    คนหนึ่งเป็นหญิงชาวอินเดียไม่แต่งงาน เธอชื่อ Miss Sulekha Kumbhare เป็นประธานของสมาคม
    อีกคนคือญี่ปุ่น Mrs. Noriko Oqawa เป็นผู้ให้การอุปการะวัด วัดนี้สร้างขึ้นมาโดยเงินของมูลนิธิโอกาวา ประเทศญี่ปุ่น
    เราเดินตรงไปที่ตัววัดวังมังกร ซึ่งสร้างไว้อย่างดี อุบาสิกา 2 ท่านไม่อยู่ จริงๆ แล้ววัดญี่ปุ่นตรงนี้สร้างขึ้นมาเพื่อพระพุทธเจ้าของเราให้ญาติโยมชาวอินเดีย มาสวดมนต์ปฏิบัติธรรมรำลึกถึงพระพุทธองค์เราเท่านั้น
    บนวัดมีเจ้าหน้าที่แขกทั้งชายและหญิงดูแลความเรียบร้อยและให้คำแนะนำ
    ตรงกลางสร้างเป็นพระพุทธรูปไม้เนื้อหอมองค์ใหญ่ให้เราเคารพกราบไหว้ และมีกล่องคู่อยู่ด้านหน้าข้างล่าง มีเชือกกั้นไว้ไม่ให้เข้าไป ทำให้ดูสร้างความเชื่อถือเพิ่มขึ้น
    เมื่อดูแล้วก็ได้แต่คิด เขาสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าและเป็นที่ปฏิบัติธรรม รอบๆ วัดก็จัดไว้เป็นระเบียบและกว้างขวาง มีโรงเรียนให้เด็กเรียนด้วย
    นั่งรถกลับมาตามทาง รถก็แวะไหว้พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่อีกองค์หนึ่งเป็นของไต้หวันมาสร้างไว้
    รถขับเข้าเมืองเข้าไปชมโดมใหญ่! เป็นสถานที่สำคัญมากของเมืองนาคปูร์ คือสถานที่ที่คนจำนวนล้านคนมาแสดงตนเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธกันตรงนี้ คนเข้าไปบูชากันตลอดเวลา ภายในมีรูปภาพความเป็นมาของการเปลี่ยนแปลง ขยายเป็นภาพใหญ่ติดไว้ให้เห็นแต่ละขั้นตอนเพื่อให้ระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นๆ! เป็นตอนๆ ให้ทราบกัน เราดูแล้วก็กลับกัน
    ผมถามพระ ดร.ญาณทิพย์ว่า วัดพุทธในนาคปูร์มีสักเท่าไร
    "ทั้งหมดวัดเล็กวัดใหญ่ประมาณ 500 วัด
    ถ้าทั้งรัฐมหาราษฏระจะมี 1,000 กว่าได้ ส่วนคนนับถือศาสนาพุทธในอินเดียจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคิดเป็นคนประมาณ 20 ล้านเท่านั้น" ท่านบอกผม
    รถไปส่งท่านที่วัดมหากัสสปะแล้ว เราก็กลับโรงแรม.

ที่มา
http://thaipost.net/tabloid/131013/80617

No comments:

Post a Comment