ชีวิตหลังม่านมายา ของ จินตหรา สุขพัฒน์ เรื่องโดย สหัสวรรษ
ถ้าให้คุณนึกถึงนักแสดงหญิงเจ้าบทบาทในวงการบันเทิงไทยสักคน เชื่อแน่ว่าชื่อ จินตหรา สุขพัฒน์ ต้องอยู่ในลิสต์ เธอได้รับการยกย่องจากคนในวงการด้วยกันและคนดู ในฐานะนักแสดงที่มีฝีไม้ลายมือ และใช้ชีวิตได้อย่าง “น่ามอง” ทั้งในจอและนอกจอ
คุณแหม่มใช้ชีวิตในวงการนี้มากว่า ๒๐ ปี และเกือบครึ่งชีวิตของเธอมีหลายเรื่องราวที่ไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยเท่าไรนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอเข้าสู่วงการในยุคที่นางเอกต้องเก็บตัวและควรมีข่าวน้อยที่สุด อีกส่วนเป็นเพราะเจ้าตัวเป็นคนรักความสงบ
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงยุคที่คนไทยใจกว้างสุด ๆ (สังเกตได้จากนางเอกนุ่งน้อยห่มน้อย แต่มีชื่อเสียง) ขออาศัยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนี้ คุยเปิดใจกับนางเอกในดวงใจคนนี้ ถึงทุกเรื่องที่สงสัย และน้อยครั้งที่เธอจะเล่าให้ใครฟัง โดยเฉพาะเรื่องหัวใจของเธอ
อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้อยู่ในวงการได้นานขนาดนี้ครับ
จริงๆไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่เวลาทำงานต้องตั้งใจ มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นอะไร อาจเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังมาจากผู้ใหญ่หลายท่านในวงการ อาทิ คุณสักกะ จารุจิดา คุณกอบสุข จารุจินดา รวมถึงคุณดวงดาว จารุจินดา ท่านสอนว่าต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน และเป็นเด็กต้องมีสัมมาคารวะ คนไทยชอบคนอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด ที่สำคัญคือต้องรู้จักกาลเทศะ รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วย เช่นการไม่ไปในที่อโคจร
คุณอาพิสมัย วิไลศักดิ์ ซึ่งเป็นแม่แบบในการแสดงอีกคนก็สอนเสมอว่า ต้องรับผิดชอบและรักงานที่ทำ ที่สำคัญต้องไม่ดูถูกคนดู ในการทำงานกับคนหมู่มาก ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าไม่อยากให้คนพูดถึงในแง่ไม่ดี ก็ต้องประพฤติตัวให้ดี เวลาจะทำอะไรแหม่มนจะคิดว่าต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมายังไง จะได้ไม่รู้สึกผิดหวังว่าพยายามน้อยไป
ขยายความคำว่าสถานที่อโคจรหน่อยสิครับ น่าจะเป็นเรื่องที่บอกถึงความแตกต่าง ในการใช้ชีวิตของนางเอกสมัยนั้น กับสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี
แหม่มเป็นนางเอกยุคเก่า แฟนละครสมัยนั้น จะมองว่านางเอกในจอกับนอกจอต้องเหมือนกัน ต้องเป็นนางเอ๊ก นางเอกตลอดเวลาต้องไม่มีข่าวเสียหาย ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ เทียบกันแล้วนางเอกสมัยปัจจุบันสบายกว่าเยอะ สังคมเปลี่ยน แฟนละครก็เปลี่ยน จะเห็นว่านางเอกบางคนแม้มีข่าวไม่ค่อยดี แต่ก็ยังดังและเป็นที่ถูกใจคนดู ยิ่งแต่งตัวเปรี้ยวยิ่งชอบ มีกระแสพูดถึงอยู่ตลอดเวลา
จริงๆ สมัยก่อนแหม่มก็เคยเที่ยวนะ แต่เที่ยวตอนเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ไปพอประมาณเพื่อความผ่อนคลายกับเพื่อนฝูง ไม่ใช่สนุกจนหน้าโทรม ลุกไปทำงานไม่ไหว นั่นคือเมื่อประมาณสิบปีที่แล้วนะ ตอนนี้อย่างเก่งก็แค่ฟังเพลง กินข้าวที่ร้านอาหาร ให้ไปผับหรือเธ็คที่มีควันบุหรี่เยอะๆ ก็ไม่ไหวแล้ว
เห็นเขาว่ากันว่านางเอกสมัยก่อนลำบากกว่าสมัยนี้เยอะ
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีเครื่องอำนวยความสะดวกกระมังคะ อย่างการถ่ายหนัง เขาจะมีงบจำนวนหนึ่งสำหรับใช้จ่าย ซึ่งต้องเซฟ แทนที่จะพักโรงแรมหรูๆ ก็ต้องพักโรงแรมเล็กๆ ไม่แพงมาก การเดินทางก็ไม่ได้นั่งเครื่องบินเหมือนสมัยนี้ ต้องนั่งรถบัสแบบเหมาคันไป ไม่ว่าจะทีมงานหรือดาราก็นอนในรถคันเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็เพื่อความสะดวกในการถ่ายทำ ระหว่างทาน ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็แวะปั๊ม
แหม่มเคยนั่งรถไปถ่ายหนังที่หาดใหญ่ ความที่เพิ่งเข้าวงการไม่เคยไปหาดใหญ่เลย ตื่นเต้นมาก สมัยนั้นหาดใหญ่ดังสุดๆ ถ้าได้ไปต้องซื้อแอ๊ปเปิ้ลกับสาลี่กลับมาเป็นลังๆ (หัวเราะ) ระหว่างทางต้องแวะถ่ายฉายนั้นฉากนี้เป็นระยะ แหม่มปวดปัสสาวะมาก แต่ไม่กล้าแวะข้างทาง จึงอั้นไว้ พอถึงหาดใหญ่รีบเข้าห้องน้ำ รู้สึกปัสสาวะขัด ถ่ายหนังเสร็จ ทีมงานแวะกินข้าวต้มที่หลังสวน ชุมพร ตอนกินข้าวตัวสั่นเลย มือสั่นจนบังคับตัวเองไม่ได้ รีบขึ้นไปนอนบนรถ พี่กอบสุขถามวาเป็นอะไร แหม่มบอกว่าหนาวมาก เขาเลยเอาผ้าห่มมาให้ พี่กอบสุขเห็นว่าอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จึงพาไปโรงพยาบาลหลังสวน คุณหมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะช็อกเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หลังจากนั้นก็ได้พักยาว ถ่ายต่อไม่ได้
ทำงานมากๆ มีช่วงท้อไหมครับ
ช่วงแรกๆ ท้อมาก เคยคิดที่จะเลิกเล่น เพราะไม่ชอบชีวิตนักแสดง มันเหนื่อยและไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ตื่นเช้าขึ้นมาก็มีรถกองถ่ายมารับแล้ว ทำงานจนถึงดึก บางทีอยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือนๆ ตอนนั้นอายุเพิ่ง ๑๙ ย่าง ๒๐ ความที่ไม่ชินกับสังคมแบบนี้ ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่แข็งขืนอะไร ช่วงแรกจะรู้สึกมากกับการออกงาน เพราะไม่อยากเจอผู้คน ผ่านไปสองปี คิดจะไม่เซ็นสัญญาต่อกับไฟว์สตาร์แล้ว จะกลับไปเรียนหนังสือเหมือนเดิม
พอคุณสักกะรู้เรื่องก็โทรศัพท์มาหา บอกว่าถ้าเขาไม่มีนางเอกในมือ ก็ไม่สามารถทำหนังได้ อีกอย่างบริษัทก็ลงทุกลงแรงกับเรา แล้วทำไมจะทิ้งไป เห็นผู้ใหญ่โทรมาก็เกรงใจ เลยเซ็นสัญญาต่อ ช่วงหลังพยายามปรับตัว ประกอบกับมีงานแสดงใหม่ๆ เข้ามาเลยเริ่มรู้สึกสนุกกับงาน เข้าปีที่สามก็ไม่มีปัญหาแล้ว แหม่มพยายามเปลี่ยนความคิดตัวเอง ทุกวันนี้ก็ยังใช้วิธีคิดแบบนี้อยู่อะไรบางอย่างที่เราไม่อยากทำ ไม่อยากเป็น ต้องพยายามเปลี่ยนความคิดที่เป็นด้านลบนั้นให้เป็นบวก ไม่เช่นนั้นเราจะทำงานออกมาไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดี คิดว่าเป็นหน้าที่ เมื่อเป็นหน้าที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ ต้องรับผิดชอบ
คิดอย่างไรกับกระแสปาปารัซซีครับ
ถือว่าลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลของนักแสดงเหมือนกันนะคะ นักแสดงรุ่นใหญ่คงลำบากใจกับเรื่องนี้ ยุคนี้ทุกคนมีกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือ อย่าว่าแต่ดาราเลย คนธรรมดาเดินขึ้นบันไดยังโดนแอบถ่าย คนเป็นนักแสดงต้องระวังเรื่องสถานที่ที่ไปและเรื่องการแต่งตัวให้มากขึ้น ยุคแหม่มไม่มีอย่างนี้ นักข่าวสมัยนั้นน่ารักมาก ก่อนลงข่าวจะโทรถามก่อน อย่างแหม่มเป็นนักแสดงในสังกัดไฟว์สตาร์ เขาก็จะโทรถามทางไฟว์สตาร์ ว่านักแสดงของคุณแม่ข่าวว่าไปทำอย่างนั้นอย่างนี้จริงไหม ถ้าไม่จริงก็ไม่ลง สมัยนั้นหนังสือหัวบันเทิงมีแค่ไม่กี่หัว นักข่าวก็มีไม่กี่คน เรารู้ว่าใครเป็นใคร เทียบกับสมัยนี้ ไม่รู้เลยว่าใครมาจากไหน เป็นธุรกิจที่ต้องแข่งกันสูง
ในการแสดง อารมณ์ไหนเหนื่อยสุดครับ
บทโกรธจะเหนื่อยมาก บางทีบทที่เขาเขียนมาก็ไม่ได้ช่วย ไม่ได้มีเหตุมีผลพอที่จะต้องโกรธขนาดนั้น เราก็ต้องสร้างอารมณ์เอง อย่างบทร้องไห้ ก็นึกไปถึงคำพูดที่สะเทือนใจ ซึ่งก็ช่วยได้บางครั้ง บางเรื่องบทดีเหลือเกิน อ่านแล้วกินใจ น้ำตาก็จะไหลเอง แค่เริ่มอ่านยังไม่ถึงไหนก็ร้องไห้แล้ว อย่างละครเรื่อง สี่แผ่นดิน บทและเนื้อเรื่องดีมาก อ่านไม่ทันไร น้ำตาก็ไหล
ที่โหดๆ หน่อยก็คือหนังเรื่องอำแดงเหมือนกับนายริด คุณเชิด ทรงศรี เป็นผู้กำกับ ค่อนข้างสตริ๊กต์และชอบถ่ายโคลสอัพ คุณเชิดอยากได้ประมาณว่าพูดถึงประโยคนี้ปั๊บ น้ำตาต้องไหลเลย ทำให้กดดัน ตอนทำงาน แกจะชอบมานั่งอยู่ข้างๆ คอยลุ้นว่าจะน้ำตาไหลไหม ต้องเค้นหนัก แต่พอเค้นมากๆ ก็จะเกร็งที่หน้า ทำให้หน้าไม่สวยอีก จำได้ว่าพอถ่ายฉากร้องไห้เสร็จ อยู่ๆคุณเชิดก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “มีนางเอกอยู่คนหนึ่ง คนนั้นเขาร้องไห้สวยมาก” พูดไม่เจาะจง แต่เหมือนให้รู้สึกว่า เราร้องไห้ไม่สวย (หัวเราะ)
มีวิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างครับ จากที่เคยเป็นนางเอกยอดนิยม แต่วันหนึ่งต้องเปลี่ยนบทไปเป็นตัวรอง
ไม่ยากเลยค่ะ แหม่มเป็นคนที่คอยบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องยอมรับความจริง ทำอะไรก็ตามให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่สำคัญอย่าหลอกตัวเอง อยู่มาได้ถึงยี่สิบกว่าปี นับว่าเกินที่คาดหวังไว้มาก แม้ตอนนี้เราจะไม่ใช่นางเอก แต่ก็ยังได้ทำงาน ถึงจะเล่นเป็นแม่ เป็นป้า ก็ยังมีคนให้กำลังใจ
ก่อนหน้าที่แหม่มก็เคยคิดว่า หยุดงานตรงนี้แล้วลองไปทำงานอื่นดีไหม ไม่ใช่ยอมรับไม่ได้ที่บทมันเปลี่ยนไป แต่อยากหาอะไรที่มั่นคงกว่านี้ แต่พอคิดอีกที งานแสดงก็ยังมีความจำเป็น ยิ่งผันตัวเองมาทำธุรกิจ การทำงานตรงนี้ช่วยได้เยอะ
ตอนนี้มีมุมมองเรื่องความรักและชีวิตคู่อย่างไรครับ
การมีความรักเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ชีวิตสดชื่น มีก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้แหม่มอยู่ในวัยกลางคน เพราะฉะนั้นเวลาที่จะคบหาสมาคมกับใครก็ต้องดูที่มาที่ไป เป็นใคร มาจากไหนมีครอบครัวหรือยัง แต่ไม่ถึงกับปิดกั้นตัวเอง ไม่เคยบอกด้วยว่าจะไม่แต่งงาน เพียงแต่ให้มาแต่งจัดงานเป็นเรื่องเป็นราว คงไม่เอาดีกว่า ตอนนี้แหม่มอายุ ๔๔ ผู้ชายวัยนี้เขาคงแต่งงานกันไปหมดแล้ว อีกอย่างเราไม่ค่อยได้ไปไหนด้วย ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน ไม่เคยคิดว่าต้องไปสอดส่องหาใคร ยิ่งทำธุรกิจก็ต้องอยู่กับงานจริงๆ
ส่วนตัวแล้วไม่ได้กังวล ว่าฉันควรจะแต่งงานเสียที เพื่อนฝูงและคนนครอบครัวก็ไม่ได้อยากให้มีแฟน เพราะส่วนหนึ่งเราไม่ประสบความสำเร็จตรงนี้ ไม่โทษคนที่คบหา แต่ถ้าไม่ใช่ก็เลิก คนที่จะเข้ามา ขอแค่ความคิดความอ่านไปกันได้ มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกันก็พอ เป็นเพื่อนคุย เพื่อนคู่คิด ออกไปทำกิจกรรมด้วยกัน ไม่ต้องคอยมาหึงหวง เราทำงานด้วยตัวเองสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ถ้าจะให้ปรับตัวเข้าหาใครเยอะๆ ไม่เอาแล้ว รู้สึกว่าความอดทนน้อยลง ไม่เหมือนสมัยอายุยังน้อย ที่เทิดทูนความรักมากๆ ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ยอมทุกอย่าง
ขยายความคำว่า “ความอดทนน้อยลง” หน่อยสิครับ
สมัยสาวๆ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ยอมรับเลยว่าเวลาคบใคร เราจะทำทุกอย่างให้เขารัก ทำตัวดีแสนดี ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ “ได้ค่ะ ดีค่ะ ยอมค่ะ” สปอยล์เขาตลอดเวลา จนวันหนึ่งเริ่มมีคำถาม ทำไมคุณไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่ห่วงเรา ทำไมไม่ทานข้าวกับเรา ทำไมไม่ขับรถให้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะตามใจเขาตั้งแต่แรก บางทีก็คงเป็นเราที่ผิด อยากให้เขาขับรถให้ อยากให้มาทานข้าวด้วย ถ้าบอกสักคำ เขาก็คงทำให้ ที่เราว่าเขาเปลี่ยน มันอาจะไม่ใช่เขาที่เปลี่ยน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราโตขึ้น ความคิดของเราที่อาจจะเปลี่ยนไป เริ่มมองอะไรเต็มตาขึ้น คนเราคบหากันแค่ปีสองปีก็รู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ช่วงแรกอาจจะยังหน้ามืดตามัว แต่ถึงตอนนี้ คนที่แหม่มเคยคบหาก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะคะ
จริงๆ เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องอยู่เป็นโสด เตรียมมาหลายปีแล้วด้วย เคยพิจารณาตัวเองก็รู้ว่าเราอดทนน้อยลง สังเกตว่าช่วงหลังๆ จะไม่ค่อยทนกับผู้ชายที่มาทำอะไรไม่ได้ดังใจ คำว่า “ไม่ได้ดังใจ” ไม่ใช่ว่าเขาต้องมาตามใจ เพราะเป็นคนไม่ได้คาดหวังอะไรจากใครอยู่แล้ว ขอแค่ให้เขาเสมอต้นเสมอปลาย ซื่อสัตย์ ให้เกียรติกันก็พอ
ที่ผ่านมา บอกได้เลยว่าไม่เคยถูกผู้ชายทิ้ง ส่วนใหญ่จะเป็นเรา ที่เดินออกมาจากชีวิตของเขาเอง บางคนเรารักเขามากๆ แต่กับบางเรื่องทีเขาทำ ถ้ามันรับไม่ได้จริงๆ ขืนตบแต่ง มีชีวิตคู่ มีลูกมีเต้าด้วยกันแล้ว เขากลับไปเป็นเหมือนเดิม มันเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน ที่จะมาเลิกราตอนนั้น เลยคิดว่าตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า
ถ้าถามว่าอยู่คนเดียวได้ไหม ในอนาคต
ได้ค่ะ อยู่เป็นโสดมา ๕ ปีแล้ว และไม่มีใครเข้ามาด้วย หรือมีเข้ามา เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถามว่าเหงาไหม ก็มีบ้างบางอารมณ์ แต่แหม่มจะไม่ปล่อยตัวเองให้เหงา ถ้ารู้ว่านี้คือจุดอ่อนก็ต้องกำจัด บางทีไปต่างประเทศกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ แต่ละคนก็จะมีคู่ของเขาควงกันกะหนุงกะหนิง เราก็จะไม่อยู่ตรงนั้น ขอตัวไปเดินเล่นซื้อของแทน หนีจนบางทีเดินหลงทางก็มี (หัวเราะ) ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคนที่อยู่ด้วยตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร และชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวันนี้ก็ไปทานข้าวคนเดียว ช็อปปิ้งคนเดียว ดูหนังคนเดียว แล้วเราก็สนุกกับการที่ทำอะไรด้วยตัวเอง ขับรถเอง ไปไหนมาไหนเอง
เคยมีอารมณ์ประมาณ เห็นฝนตกแล้วนั่งเหงาริมหน้าต่างไหมครับ
ไม่มี้ (หัวเราะ) ทำอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ตัวเองซึมเศร้าหนักไปอีก เป็นคนรู้ตัวเองตลอดเวลาว่าทำอะไรอยู่ แหม่มมีเรื่องหนึ่งที่บอกใครเขาก็หาว่าประหลาด คือชอบคุยกับตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไร หรือบางทีอยู่เฉยๆ เห็นใครทำอะไรไม่ถูกตาก็ชอบคิด แล้วเก็บมาบ่นกับตัวเอง ทั้งที่เขาไม่ได้มาทำอะไรเราเลย แต่ไปหมั่นไส้เขาเสียอย่างนั้น
คนเรามันมีอารมณ์นี้จริงๆ นะ แต่พยายามไม่ให้เป็นต่อไป เพราะเป็นการเพาะเมล็ดที่ไม่ดีไว้ในใจ อย่างเวลาขับรถ บางคนขับปากหน้าก็สบถคำด่า อารมณ์เสีย ถ้าทำบ่อย ใจจะติดเป็นนิสัย คราวหน้าเจออีกก็จะด่าอีก ตอนหลังเลยไม่ทำ หรือแม้กระทั่งความอิจฉาริษยาต่างๆ คิดว่าหลายคนคงเป็น เจอคนที่ไม่รู้จักมาก่อน แต่ไม่ชอบขี้หน้าเขาเสียอย่างนั้น เขาไม่ได้มาทำให้เราเดือดร้อนเสียหน่อย จะขี้โม้ก็ช่างเขาสิ เก็บมาทำให้ตัวเองขุ่นมัวทำไม
เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ ท่านดาไล ลามะ เรื่องศิลปะแห่งความสุข ท่านบอกว่า ท่านยิ้มและพูดดีกับทุกคน ไม่เคยเหนื่อยกับการที่จะทักทายคนที่ได้พบเจอ ถ้าเราอยากให้ใครยิ้มให้เรา เราก็ต้องยิ้มให้เขาก่อน บางคนเห็นเรายิ้ม ตกใจแล้วยิ้มตอบก็มี เรื่องหนึ่งที่เจอกับตัวเองคือ เวลาเห็นเด็กขายพวงมาลัยอยู่ตามสี่แยก หรือเด็กที่มาเช็ดกระจก สังเกตว่าเวลาเราเห็นเด็กพวกนี้เดินเข้ามา เราจะขมึงตาใส่ บางคนก็ชี้หน้า บีบแตรไล่ส่งสัญญาณว่า อย่านะ บางคนโมโห ขับรถผ่านไปสามสี่แยกแล้ว ยังโกรธอยู่เลย
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็ได้คิดว่า ทำไมเราเป็นแบบนี้ ทำไมไม่คิดว่าที่เขาทำเพราะอะไร เงินแค่ ๕ บาท ๑๐ บาท ให้ไปแล้วเราเดือดร้อนมากหรือ คนที่เขามาทำอย่างนี้หรือแม้แต่ขอทาน ถ้าเขาทำได้ขนาดนี้ แสดงว่าชีวิตเขาก็คงแย่เหลือเกินแล้ว ตั้งแต่ปรับความคิดตรงนี้ได้ก็รู้สึกดี รู้สึกว่าทำไมเราถึงไม่คิดอย่างนี้ตั้งแต่แรก
เริ่มสนใจเรื่องธรรมะตั้งแต่ตอนไหนครับ
จริง ๆ แหม่มเป็นคาทอลิก คุณพ่อเป็นคริสต์ คุณแม่เป็นพุทธ แหม่มเลยเหมือนเป็นคนสองศาสนา ตอนเด็กเรียนในโรงเรียนคริสต์ ตามคุณพ่อไปโบสถ์ตลอด แต่พอโตขึ้นได้เข้ามาทำงานในวงการ คนรอบข้างส่วนใหญ่เป็นพุทธ มีวันหนึ่งทำงาน เหนื่อยมาก อยากทำสมาธิ รู้สึกว่าใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิจะอ่านบท อ่านเท่าไรก็ไม่เข้าหัว เลยปรึกษา คุณบุ๋ม รัญญา ซึ่งชอบนั่งสมาธิและไปถือบวชทุกปี คุณบุ๋มแนะนำคอร์สวิปัสสนากรรมฐานสั้นๆ ๓ วันของคุณแม่สิริ กรินชัย ที่วัดบางขุนพรหมให้
ไปถึงก็บอกวิทยากรว่าเป็นคาทอลิกนะคะ แต่อยากมาเรียนรู้การทำสมาธิ วันแรกเขาไม่ให้พูดอะไรกับใคร ได้แต่ฟังบรรยายเดินจงกรม ระหว่างนั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนถูกเพ่งเล็งตลอด คิดไปว่าเพราะเราไปบอกเขาว่าเป็นคาทอลิกหรือเปล่า เขาเลยใส่ใจเรามากกว่าคนอื่น บางทีนั่งสมาธิอยู่ เขาก็มาพูดข้างหู บอกว่า “อย่าเกร็งค่ะ ปล่อยตัวสบาย” เขาคงเห็นว่าเราขมวดคิ้วและขยับซ้ายขยับขวาตลอด ตกเย็นตอนเดินจงกรม เขาก็มาอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมต้องมาวุ่นวายด้วย
ความที่เกร็งตัวมาก ตอนเดินจงกรมเลยหมดเรี่ยวแรงไปเลย เห็นอาหารที่เขา ให้ก็คิดไปว่าจะอิ่มไหม เพราะน้อยมาก ตอนหลังมารู้ว่าเขาจะสอนให้กินช้า “ยกหนอ กินหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอ” ซึ่งการกินช้า เคี้ยวละเอียด พอหมดจานมันจะอิ่มเอง ตกกลางคืนก็คุยกับตัวเองว่าจะทำยังไงดี อยากกลับบ้านแล้ว “แต่ถ้ากลับเขาต้องประณามเราแน่ๆ” วันแรกเครียดจนอยากอาเจียน คิดว่าฉันมาวุ่นวายอะไรกับชาวพุทธเนี่ย (หัวเราะ) แต่ก็ฮึดสู้ว่า เอาน่า เราจะมาเรียนรู้ไม่ใช่เหรอ ไม่ทันรู้อะไรจะกลับเสียแล้ว
แล้วมารู้สึกดีขึ้นตอนไหนครับ
วันที่สองก็เริ่มปรับตัวได้ หลังกลับจากตรงนั้น เราได้คิดทบทวน ได้อยู่กับตัวเอง ที่ผ่านมา อาจจะมีปัญหากับคุณแม่บ้าง พอได้คิด รู้สึกเข้าใจแม่มากขึ้น เริ่มพิจารณาหาเหตุหาผลว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ เหมือนได้เรียนรู้และพิจารณาตัวเอง
หลังจากนั้นมา ก็เริ่มสนใจที่จะปฏิบัติมากขึ้น คุณบุ๋มพาไปวัดธรรมอุทยาน ซึ่งเป็นวัดป่าที่ขอนแก่น พวกเราทำกุฎิเล็กๆ ไว้ให้ญาติโยมพัก บางทีก็ไปกางเต็นท์นอน คนอื่นอาจจะไปทำสมาธิเป็นหลัก แต่แหม่มไปเพื่อพักผ่อนเสียส่วนใหญ่ เพราะหลวงพ่อกล้วยที่พวกเรานับถือที่วัดนี้บอกว่า ทำตัวตามสบายนะ ให้เหมือนอยู่ที่บ้าน ได้รู้จักกับ อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ซึ่งสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติ ท่านเป็นคาทอลิก แต่ตอนหลังบวชเป็นพระ พอสึกเป็นฆราวาสท่านก็มาบรรยายธรรมะให้ฟัง
ครั้งหนึ่งอาจารย์วรภัทร์พาแหม่ม คุณบุ๋ม และพี่ตุ๊ก ดวงตาไปทดสอบใจ ท่านพาไปที่หลุมศพ แต่ละหลุมนั้นสามปีถึงขุดขึ้นมาเผาที จริงๆ แหม่มเป็นคนไม่กลัวผี แต่พอเป็นคนนั้นคนนี้กลัว เราก็กลัวตาม ตอนกลางคืน ทีวัดมืดและเงียบมาก แค่เสียงใบไม้หล่นก็ทำให้สะดุ้ง รู้สึกว่าหลังเย็นวาบ เหมือนธรรมชาติมาล้อเรา อาจารย์พาไปดูเมรุเผาศพก่อน ก็จินตนาการไปต่างๆ นานา ว่าต้องน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้ตามภาพที่เราเคยเห็นจากภาพยนตร์ แต่พอไปดูจริงๆ กลับมองไม่ออกว่าเป็นอะไร พอดีในกลุ่มมีพยาบาลอยู่คนหนึ่ง เขาก็จะคอยกระซิบว่า ตรงเป็นอวัยวะนั่นนี่นะคะ แต่ก็มองไม่ออก เห็นแต่ผ้าขาวๆ
วันต่อมาไปที่หลุมศพอีก คราวนี้หลวงพ่อกล้วยให้เราขึ้นไปยืนบนหลุม หลวงพ่อถามว่าคิดยังไง ก็บอกไปว่าไม่อยากยืนเลยค่ะ ท่านถามว่ากลัวไหม ก็ตอบว่ากลัว ท่านถามต่อว่าทำไมถึงกลัว ก็ตอบว่าเพราะรู้สึกว่ากำลังลบหลู่เขา ท่านจะถามไปเรื่อยๆ เพราะอยากรู้ว่าแต่ละคนคิดยังไง มารู้ตอนท้ายว่า ที่ท่านถามเพราะต้องการแก้ความรู้สึกที่อยู่ในใจแต่ละคน สิ่งที่ท่านสอนคือ คนเรากลัวได้ แต่เราจะดับความกลัวนั้นด้วยวิธีไหน ลองสังเกตกิริยาของตัวเองที่เกิดขึ้น อยู่กับตัวเอง แล้วดับความกลัวนั้นด้วยสติ
กลับไปครั้งที่สอง แตกต่างจากครั้งแรกมาก ไม่รู้สึกกลัว เดินไปที่หลุมด้วยความรู้สึกไม่เหมือนเดิม กล้าเดิน กล้าไปปูเสื่อนอนข้างๆ หลุมศพ สิ่งที่หลวงพ่อพูดเสมอและจำได้ดีคือ ให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ที่บ้าน เพราะถ้าอยู่ที่บ้าน เราจะไม่กลัวอะไรเลย รู้ว่าตรงมุมนั้นมุมนี้เป็นไง หลังๆพอเริ่มไป กลัวก็ปล่อยตัวตามสบาย ถ้ามีเวลาว่างก็จะไปที่วัดเสมอ
ธรรมะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรบ้างครับ
ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักที่จะให้อภัยใครต่อใครง่ายขึ้น ธรรมะคือธรรมชาติ ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุมีผลและที่มาที่ไปเสมอ แม้ศึกษาเรื่องพุทธ แต่แหม่มก็ไม่ได้ลืมความเป็นคริสต์ ทุกวันนี้ก็ยังนับถือคริสต์เหมือนเดิม ยังไปโบสถ์ เคยนั่งเทียบเคียงระหว่างสองศาสนาว่าจริง ๆก็มีอะไรที่คล้ายๆ กัน อย่างการทำสมาธิของพุทธเปรียบเทียนก็คือการสวดสาประคำ ขณะที่บัญญัติ ๑๐ ประการกับศีล ๕ ศีล ๘ ก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน สรุปว่าทุกศาสนาต่างก็สอนให้คนเป็นคนดี
ถามถึงธุรกิจเครื่องสำอาง LACARA บ้างครับ มีที่มาที่ไปอย่างไร
แหม่มเคยทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเสริมเพื่อการควบคุมน้ำหนักมาก่อน พอตรงนั้นจบไป ก็เริ่มสนใจผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม ที่ทำเพราะมีคนชอบมาถามว่า ดูแลตัวเองอย่างไร เพิ่งทำจริงจังเมื่อสามปีที่ผ่านมา
แหม่มเริ่มจากทำธุรกิจไม่เป็นเลย ต้องศึกษาเพิ่มเติมเยอะมา แล้ววิธีการดำเนินธุรกิจของเราก็แตกต่างจากชาวบ้าน เราใช้ทฤษฎีของตัวเอง หลายคนแนะนำให้ขายตรง ขยายเครือข่ายเยอะๆ แต่ไม่ทำ เพราะสงสารตัวแทนขาย ที่ต้องหาเงินมากๆ มาลงทุน
หลักในการทำธุรกิจของแหม่นก็ง่ายๆ คือ ซื่อสัตย์ เราได้ผู้ผลิตที่เป็นคุณหมอซึ่งเข้าใจผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี แหม่มอยากให้คนที่ใช้สินค้าแล้วดูดีขึ้นจริง จะดีใจมาก ถ้ามีคนบอกว่าสินค้าของเราใช้ดี เนื้อครีมดี เราผลิตสินค้าที่ดีที่สุด แต่ตั้งราคาคนไทย อยากให้คนต่างประเทศที่มาเที่ยวเมืองไทยซื้อสินค้าเรากลับ เหมือนเวลาไปซื้อ David Jones ที่ออสเตรเลีย ไปซื้อ Marks&Spencer เวลาไปอังกฤษ ตอนนี้พยายามคิดสูตรใหม่ๆ ที่เป็นสารสกัดจากสมุนไพรไทยอยู่
ถ้าถามว่า อะไรคือความสุขในปัจจุบันนี้
การได้ทำให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ดีมีสุข ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ลูกหลานหรือญาติๆ อย่างน้อยที่สุด แค่ได้ดูแลพ่อแม่ให้มีความสุข แหม่มก็มีความสุขแล้ว ไม่อยากให้เขาต้องกังวลกับเศรษฐกิจหรืออะไรภายนอกอยากรับผิดชอบตรงนี้แทน ส่วนตัวเราเองไม่มีปัญหา เพราะดูแลตัวเองได้อยู่แล้วค่ะ (ยิ้ม)
No comments:
Post a Comment