Thursday, April 2, 2015

คำสารภาพของอดีตมุสลิม I am an ex-Muslim


http://adf.ly/1Cyhpu

ฉันเคยนับถือศาสนาอิสลาม แต่ตอนนี้ฉันคืออศาสนิกชนที่เคารพคุณค่าของมนุษย์
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ขอชี้แจงวัตถุประสงค์ของกระทู้นี้กันก่อนนะคะ ฉันเองไม่ได้มีเจตนาในการให้ร้ายหรือโจมตีศาสนาเดิม
แต่เหตุที่ตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อใช้พื้นที่ในพันทิปนี้ส่งข้อความไปยังใครสักคนที่ได้อ่านกระทู้นี้และผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกับฉัน และอาจจะกำลังสับสน หรือกำลังโทษความคิดของตัวเอง
ฉันอยากบอกคุณว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ หากอยากคุยกับใครสักคน ฉันพร้อมที่จะรับฟัง

มาเข้าเรื่องกันเลยค่ะ


วัยเยาว์
ฉันเติบโตมาในครอบครัวมุสลิมย้อนกลับไปตั้งแต่รุ่นทวด พ่อและแม่ฉันคือมุสลิม และโดยการสืบทอดทางครอบครัว ฉันจึงเป็นมุสลิมมาแต่กำเนิด
(ทุกท่านคงทราบว่ามุสลิมในประเทศไทยแยกคร่าวๆ ได้เป็นสองนิกาย สุหนี่ และชีอะห์ ครอบครัวฉันเป็นสุหนี่เช่นเดียวกับมุสลิมส่วนใหญ่ของประเทศ)
ในทางปฎิบัติ ครอบครัวดิฉันไม่ได้เป็นมุสลิมที่เคร่งครัดค่ะ หลักปฎิบัติ 5 ประการก็ทำได้ไม่ครบ (สำหรับท่านที่ไม่ใช่มุสลิม : หลักปฎิบัติห้าประการที่เป็นข้อบังคับของมุสลิมคือ 1) การปฎิญาณตนต่อพระเจ้า 2) การละหมาด 3) การถือศีลอด 4) การบริจาคทานที่เรียกว่าซะกาต และ 5)  การไปแสวงบุญที่นครเมกกะห์ที่เรียกว่าทำฮัจญ์) แต่แม้ว่าการปฎิบัติจะขาดๆเกินๆ แต่ครอบครัวฉันก็ศรัทธาในพระเจ้า (อัลเลาะห์) ครอบครัวฉันเชื่อมั่นและศรัทธาในคำสอนของศาสนาแต่ก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ศาสนาสั่งให้เราทำทุกประการ
ความรู้เรื่องอิสลาม
บ้านของฉันตั้งอยู่ห่างไกลชุมชนอิสลาม วิถีชีวิตของเด็กๆ ในชุมชนมุสลิมคือการไปเรียนอัลกุรอ่านและวิชาที่เกี่ยวข้องในวันเสาร์อาทิตย์ ครอบครัวฉันก็ส่งฉันไปเรียน แต่เพราะด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง อาทิ การเดินทาง แรงจูงใจในการไปเรียน ทำให้การเรียนอัลกุรอ่านและการศึกษาศาสนาอิสลามในวัยเด็กของฉันไม่ประสบความสำเร็จ

ใกล้ชิดอิสลาม
ฉันมาคลุกคลีกับการปฎิบัติตัวแบบอิสลามมากขึ้นตอนที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนแรกฉันไม่เคยรู้และไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำว่าในมหาวิทยาลัยมีชมรมมุสลิม แต่วันหนึ่งตอนที่กำลังซ้อมเชียร์งานกีฬามหาวิทยาลัย จู่ๆก็มีรุ่นพี่ประกาศเรียกนักศึกษาปี 1 ที่เป็นมุสลิมให้ออกมาจากห้องเชียร์ เพื่อไปละหมาด
ตอนนั้นฉันรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองเป็นมุสลิม เพราะจะได้ไม่ต้องใช้เวลาเข้าห้องเชียร์ฟังเสียงรุ่นพี่ตะโกนใส่หูอยู่ในห้องร้อนๆ
รุ่นพี่ที่ชมรมมุสลิมเป็นกันเองและทำให้ฉันรู้สึกสบายใจจากความเครียดในการปรับตัวทั้งเรืองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียน และการที่ต้องมาทำความรู้จักเพื่อนกลุ่มใหม่ที่ไม่ใช่เพื่อนมัธยมที่ฉันคุ้นเคย
ฉันรู้สึกมีความสุขในการใช้ชีวิตส่วนใหญ่กับรุ่นพี่ที่ชมรมมุสลิม กินข้าวด้วยกัน พูดคุยกัน จัดทริปไปเที่ยวกัน ออกค่ายอาสาด้วยกัน
ส่วนเรื่องศาสนา ฉันก็รู้สึก “ใกล้ชิดพระเจ้า” (ตามความเข้าใจของฉัน) มากกว่าแต่ก่อน ในแง่การปฎิบัติตัว เพราะเวลามาชมรม ฉันก็จะได้ละหมาด ได้กินอาหารฮาลาล  และบางครั้งทางชมรมมุสลิมก็จะจัดการเสวนาในหัวข้อเกี่ยวกับอิสลาม และที่ฉันชอบมากที่สุดก็คือช่วงเทศกาลถือศีลอดที่สมาชิกในชมรมจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาทำกับข้าว พวกเราก็ช่วยกันทำช่วยกันล้าง สร้างสัมพันธ์ในหมู่นักศึกษามุสลิมด้วยกัน (จนหลายๆคนก็คบกันเป็นแฟนจนเรียนจบและแต่งงานกันไปหลายคู่)
แต่แม้จะอยู่ในสังคมชมรมมุสลิม ความรู้ความเข้าใจในเรื่องศาสนาของฉันก็ยังผิวเผิน จะมีก็แต่เรื่องการละหมาดที่ฉันได้ทำเพิ่มขึ้น มีการตักเตือนกันบ้างในภาพรวมหากการปฎิบัติศาสนกิจหย่อนยาน แต่ด้วยรูปแบบของการรวมกลุ่มที่ไม่ได้บังคับกะเกณฑ์ทำให้ทั้งคนที่เคร่งครัดและไม่เคร่งครัดในข้อกำหนดของศาสนกิจสามารถใช้เวลาร่วมกันได้

วัยทำงานและความรัก
แต่หลังจากที่เรียนจบ และออกไปประกอบสัมมาอาชีพ ฉันก็ค่อยๆห่างเหินจากศาสนาทั้งใจและกาย ที่ทำงานทำให้ฉันพบเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ และด้วยการเปลี่ยนแปลงจากนักศึกษาที่พึ่งพาพ่อแม่ มาใช้ชีวิตด้วยตนเอง ทำให้ความสนใจของฉันเบนไปสู่รูปแบบของการแสวงหาความสุขของคนวัยทำงาน จนเริ่มมีความแฟน แฟนคนแรกในชีวิตการทำงานของฉันก็ไม่ได้เป็นมุสลิม
เราคบกันจริงจัง บ้านเราทั้งสองรับรู้ แต่แปลกที่ฉันเองก็ไม่เคยวาดหวังถึงเรื่องแต่งงาน
จนถึงเวลาอันสมควร แฟนของฉันเอ่ยปากคุยถึงเรื่องการวางแผนแต่งงาน ตอนนั้น สิ่งที่กระตุกใจฉันก็คือ เขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าแบบฉัน ฉันมองไม่ออกว่าเราจะลงเอยกันได้อย่างไร แต่ฉันก็ไม่ได้พูดคุยถึงข้อคับข้องในใจฉันกับแฟน ได้แต่คอยพยายามมองข้ามเรื่องความแตกต่างทางศาสนาของเรา
แต่จากนั้นไม่นาน ก็มีเรื่องราวที่ทำให้เราสองคนเลิกกัน แม้สาเหตุที่เลิกกันจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนา แต่ก็ทำให้ฉันตั้งเงื่อนไขในการเลือกคู่ครองเอาไว้ ว่าแม้ฉันจะไม่เคร่งครัด แต่ฉันจะแต่งงานกับผู้ชายที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น (หมายถึงเป็นมุสลิมก่อนที่จะมาคบกับฉัน)
ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้
หลังจากผ่านชีวิตทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง เริ่มเข้าสู่การแสดงหาคำตอบภายในใจ เริ่มอยากหาคำตอบของคำถามที่วนเวียนเข้ามาในหัว “คนเราเกิดมาเพื่ออะไร” “เป้าหมายของชีวิตคืออะไร”
จนวันหนึ่ง ระหว่างการสนทนาบนโต๊ะอาหารกับพี่ๆน้องๆในครอบครัว ฉันก็รู้สึกว่าไม่มีคำว่าสายเกินเรียน ในเมื่อเราไม่ได้ศึกษาศาสนาเมื่อเรายังเด็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถเริ่มศึกษากันในวัยผู้ใหญ่ ฉันและพี่ๆจึงชวนกันไปหาที่เรียนศาสนา
บรรยากาศของโรงเรียนศาสนาทำให้ฉันรู้สึกดี ครูที่มาสอนศาสนามีความมุ่งมั่นและปรารถนาดีที่จะถ่ายทอด ส่วนนักเรียนส่วนมากก็ตั้งอกตั้งใจ ฉันเรียนรู้และให้เวลากับศาสนามากขึ้นในชีวิตประจำวัน ฉันอ่านและค้นคว้าเพื่อสร้างความมั่นใจในศรัทธาของตัวเอง อ่านเพื่อหาข้อพิสูจน์ถึงความถูกต้องในคำสอนของศาสนา
ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับนักวิชาการทางศาสนาอิสลามในเมืองไทย หลายท่านเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจที่มี แต่ทุกครั้งที่ฉันได้อ่าน ได้ฟังบทบรรยายทางศาสนา ในหัวของฉันก็มีคำถาม คำถาม และคำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ฉันไม่กล้ายกมือถาม เพราะฉันกลัวว่าคนฟังจะคิดว่าฉันเคลือบแคลงในศาสนาของตัวเอง
นั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วยิ่งฉันใกล้ชิดอิสลาม ฉันก็ยิ่งรู้สึกห่างไกลจากศาสนามากกว่าเดิม

จุดเปลี่ยน
ช่วงระหว่างนั้น ก็มีเหตุให้ฉันต้องเปลี่ยนงานย้ายที่อยู่ ฉันจึงไม่ได้ใช้เวลาที่โรงเรียนสอนศาสนาแห่งนั้นอีกต่อไป
แต่ฉันก็พยายามไม่ละทิ้งการปฎิบัติและยังพาตัวเองให้อยู่ท่ามกลางสังคมมุสลิม เพียงแต่ สิ่งที่ฉันควบคุมไม่ได้ก็คือความสงสัยในหัวของฉันมันขยายพองขึ้นเรื่อยๆ
จนมาวันหนึ่ง
ฉันไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทกัน เพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งเขาเป็น Atheist (ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า) แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ปฎิบัติต่อฉันและเพื่อนมุสลิมคนอื่นๆด้วยความเคารพ เราสนทนาเรื่องกฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ และออกไปสู่เรื่องศาสนา
บทสนทนาในวันนั้น เพื่อนฉันโจมตีการถือศีลอดของมุสลิม ด้วยเพราะวิธีการและเหตุผลที่มุสลิมยกมาสนับสนุน “คำสั่งของพระเจ้า” มันไม่เมคเซนส์เอาเสียเลยสำหรับเขา ฉันนั่งฟังเงียบๆ และปล่อยให้เพื่อนคนอื่นๆ ทั้งที่สนับสนุนและโต้แย้งพูดคุยถกเถียงกัน และเสียงรอบข้างเริ่มเบาลง เบาลง เบาลง
ส่วนเสียงในหัวของฉันเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น สิ่งที่มันประเดประดังเข้ามาในหัว ไม่ใช่ข้อวิจารณ์เรื่องการถือศีลอดจากเพื่อนของฉันเท่านั้น แต่ยังเป็นคำสอนของศาสนาเรื่องอื่นๆ ที่ฉันเคยอ่านแล้วสะกิดใจ (ฉันขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดของคำสอนและความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ในกระทู้นี้นะคะ เพราะเกรงว่าจะกระทู้จะเบี่ยงประเด็นไป) แต่หนนี้เหมือนกับว่าเรื่องทุกเรื่องมันถาโถมเข้ามาในหัวพร้อมๆกัน
ความกังขาต่อ “คำสั่งสอน” ของศาสนาตัวเองเริ่มมากขึ้น จนฉันรู้สึกอึดอัด
ช่วงเวลาหลังจากนั้น ฉันเหมือนคนสับสนในตัวเอง
แต่ก่อนแต่ไร ฉันอาจเคร่งครัดน้อยไปบ้าง แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดต่อคำสอนของศาสนาของตัวเองมากขนาดนี้

แสงที่ดับวูบ
สิ่งที่เกิดตามมาก็คือความรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้ ภายในใจ
หลายท่านอาจจะคิดว่าฉันพูดจาเพ้อเจ้อ แค่สับสนกับศาสนา ทำไมถึงกับสิ้นหวังกับชีวิตเชียวหรือ
แต่หากใครที่เจอเรื่องราวคล้ายๆฉัน อาจจะเข้าใจ
เปรียบเทียบเหมือนนกที่คิดว่าตัวเองเกาะอยู่บนคานที่แข็งแรงมาโดยตลอด แล้วจู่ๆ นกตัวนั้นก็ได้เรียนรู้ว่าคานนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา แท้จริงตัวมันกำลังดิ่งลงเรื่อยๆ บนความมืดอันเวิ้งว้าง และไม่รู้ว่าจะตกลงสู่พื้นเมื่อไหร่
ฉันยังคงดำเนินชีวิตตามปรกติ แต่ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวโดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนอน ฉันจะรู้สึกแย่มากๆ ความรู้สึกสับสนในตัวเองเริ่มเกิด บางครั้งยามจิตใจท้อแท้มากๆ ความคิดที่ว่า “หรือนี่เป็นการทดสอบศรัทธาจากพระเจ้า” ก็จะลอยมาในหัว แต่พอตั้งสติได้ ฉันก็รู้สึกว่าคงไม่มีใคร นอกจากตัวเองเองที่จะช่วยพาตัวเองกลับสู่ภาวะปกติในหัวได้ ฉันต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อการเดินทางออกจากเส้นทางของศาสนาให้มากกว่านี้

หาทางเลือก
หลังจากที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้เชื่อใน “คำสอนของศาสนาอิสลาม” อีกต่อไป
ฉันก็พยายามหาที่ที่ฉันควรจะอยู่
ตอนนั้น ฉันพยายามมองไปในมุมว่าพระเจ้าในศาสนาของอับราฮัม (Abrahamic religions) อื่นๆ อาจจะเป็นทางเลือก ซึ่งหลักๆ ก็คือ ศาสนายูดาย และศาสนาคริสต์ ฉันเลยหาโอกาสพูดคุยกับเพื่อนชาวคริสต์และได้มีโอกาสไปโบสถ์บ้าง แต่ก็รู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่คำตอบ เพราะข้อโต้แย้งในคำสอนของศาสนาคริสต์ก็มีคล้ายๆกับสิ่งที่ฉันรู้สึกจากศาสนาอิสลาม อาจจะมากบ้างน้อยบ้างต่างกันในแต่ละประเด็น


ฉันเข้าร่วมกลุ่มผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าทางออนไลน์ (Atheist Group) แม้จะได้เรียนรู้แนวคิดในการดำเนินชีวิตที่ปราศจากพระเจ้า แต่ก็ยังรู้สึกว่าในกลุ่ม Atheist หลายๆท่าน นอกจากจะไม่เชื่อพระเจ้า ไม่นับถือศาสนา (Irreligious) แล้ว ยังต่อต้านศาสนา (Antireligious) ด้วยการใช้ข้อความแสดงความเกลียดชัง (Hate speech) ที่ฉันไม่นิยม
ฉันเริ่มเสิร์ชหาบทความของผู้ที่ออกจากศาสนาอิสลาม ด้วยความหวังว่าจะเจอใครที่ผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่กลายเป็นว่าฉันแทบไม่เจอบทความจากผู้เขียนชาวไทย
ในบทความและหนังสือที่เล่าถึงประสบการณ์ของอดีตมุสลิม มีสองท่านที่ฉันอ่านแล้วรู้สึกประทับใจ
[Spoil] คลิกเพื่อซ่อนข้อความ
คือ The Islamist Delusion - From Islamist to Cultural Muslim Humanist และ The Young Atheist's Handbook: Lessons for Living a Good Life Without God
แม้เส้นทางการออกจากศาสนาอิสลามของฉันกับทั้งสองท่านจะต่างกัน แต่ฉันมีเป้าหมายเหมือนกับทั้งสองคือ เราสามารถเป็นผู้ที่มีเป้าหมายในชีวิตและมีความรับผิดชอบต่อสังคมได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาศาสนาและพระเจ้า

ค้นพบตัวเอง
หลังจากเวิ้งว้างทางความศรัทธามาระยะเวลาหนึ่ง ฉันก็ค้นพบว่าในความหลากหลายทางความเชื่อและความคิด วิถีทางแห่งระบอบจริยธรรมที่สอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจและความต้องการในชีวิตของฉันมากที่สุดก็คือวิถีแห่งมนุษยนิยม Humanism ดังที่กล่าวมาข้างต้น คุณค่าของมนุษย์ก็คือการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่เชื่อในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่อการทำรับรู้และเข้าใจโลก มีกฎเกณฑ์ในชีวิตด้านคุณธรรมจริยธรรมอยู่บนบรรทัดฐานของเหตุและผลและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นทั้งที่เป็นมนุษย์และสัตว์ และสามารถมีความสุขได้ในโลกนี้ และเต็มใจช่วยเหลือบุคคลรอบข้างโดยไม่จำเป็นต้องหวังการตอบแทนในโลกหน้า
ฉันใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าจะละทิ้งความศรัทธาในศาสนาอิสลามได้
ฉันผ่านความสับสนในหัวใจ ความท้อแท้ ความหดหู่สิ้นหวัง และแม้แต่การโทษตัวเองว่าเป็นผู้ทรยศต่อพระเจ้า (ซึ่งไม่มีอะไรเลวร้ายสำหรับมุสลิมมากไปกว่านี้แล้ว)

ฉันเขียนกระทู้นี้ ไม่ใช่เพื่อการเชิญชวนให้ใครออกจากศาสนาอิสลาม แต่ฉันเขียนถึงคนที่กำลังเดินออกจากศาสนาอิสลาม แต่มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า
ฉันอยากบอกเขาคนนั้นว่า คุณไม่ได้เดินอยู่คนเดียวบนเส้นทางนี้
ด้วยความหวังดี

ตัดทอนจาก
http://pantip.com/topic/33458701

 

6 comments:

  1. This comment has been removed by a blog administrator.

    ReplyDelete
    Replies
    1. This comment has been removed by the author.

      Delete
  2. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
  3. ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน

    ReplyDelete