Saturday, August 15, 2009

บันทึกเรื่องของคุณพาณี รัตนสมบัติ ผู้อธิษฐานถึงพระพุทธเจ้าและพระเยซู


“บันทึกเรื่องของคุณพาณี รัตนสมบัติ” เป็นหนังสือพิมพ์แจกในงานศพ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๐๗

ข้าพเจ้ามีความสนใจเรื่องที่คุณพาณีหมดลมหายใจไปแล้วสามครั้ง ตายอย่างอวัยวะส่วนต่างๆ หยุดทำงานตัวเย็นชืด แต่แล้วกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา และเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาในระหว่างจิตดับได้เข้าไปในเขตดินแดนเมืองสวรรค์ โดยมีรถที่สวยงามมีผู้คนแวดล้อมพาไป และก่อนที่คุณพาณีจะหมดลมนั้นก็รู้ล่วงหน้าทุกครั้ง " แต่ สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้าในหนังสือฉบับนั้น ก่อนตอนต้นที่คุณพาณีได้ตัดสินใจจากประสบการณ์ในนิมิต เปลี่ยนใจจากการนับถือศาสนาคริสต์มานับถือศาสนาพุทธด้วยแรงอธิษฐาน"

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านแล้ว ก็เกิดสนใจในชีวิตอันประหลาดมหัศจรรย์ของคุณพาณีมาก รู้สึกมีความเลื่อมใสอยากจะติดตามเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะติดตามเรื่องนี้ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักกับญาติของคุณพาณีพอที่จะให้ความกระจ่างแจ้งใน เรื่องนี้ ก็ได้แต่เก็บความสนใจเรื่องนี้ไว้ในความรู้สึก หวังคอยเวลาและโอกาสข้างหน้า

แต่แล้วต่อมาเมื่อเทศกาลกฐินปี ๒๕๐๙ ข้าพเจ้าได้ไปงานทอดกฐินที่วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีผู้แนะนำให้รู้จักกับ คุณสาย รัตนสมบัติ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านผู้นี้มาก่อนเลย นับว่าเป็นโชคดีโดยบังเอิญ ข้าพเจ้าเรียนถามถึงคุณพาณี ตามที่ข้าพเจ้าได้อ่านในหนังสือบันทึกที่พิมพ์แจก และอยากทราบนอกเหนือกว่านั้น คุณสายเป็นผู้ที่คุยสนุกได้กรุณาเล่าให้ฟังในเวลาตอนเลี้ยงอาหารเที่ยง ที่บนศาลาวัดประดู่ทรงธรรม หลังจากทอดกฐินแล้ว รวมทั้งผู้มีเกียรติอีกหลายท่าน เรามีเวลาสนทนากันไม่มากนักในระหว่างอาหาร และหลังอาหารเราก็ยังสนทนากันอีกนาน แต่ยังไม่สิ้นเรื่อง

ข้าพเจ้าจะขอย่อแต่ต้นเรื่อง คือ การเปลี่ยนศาสนาของคุณพาณี เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่เป็นพิษภัยให้โทษแก่ใคร การที่คนใจชั่วทำลายพระพุทธรูปที่ได้รับภัยก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ใครทำดีทำชั่วย่อมหนีไม่พ้นกรรมที่ทำไว้ คุณพาณีเคยอยู่โรงเรียนกินนอนมาแต่เด็กๆ ได้ถูกอบรมให้ถือศาสนาคริสต์ไปด้วย เมื่อกลับมาอยู่บ้านก็แยกเป็นสองศาสนา คือ มีพุทธและคริสต์ในบ้านเดียวกัน แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเสรี ก็มิได้รังเกียจใครจะถือศาสนาใดก็เข้ากันได้ ให้ความรักใคร่เอ็นดู เห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกันไม่ลบหลู่ดูหมิ่น เพราะเห็นว่าทุกศาสนาสอนให้คนทำความดี

แต่คุณพาณีไม่สบายใจ เพราะปัญหาเรื่องศาสนาที่ต้องแยกกันนับถือในบ้านเดียวกัน ตัดสินใจไม่ถูก เพราะมองเห็นดีทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่เมื่ออยู่บ้านเดียวกัน ก็ควรจะนับถือศาสนาเดียวกัน จะได้มีจิตใจร่วมสามัคคีสนิทเพื่อความสุขทางครอบครัว ถ้าคนละศาสนาจะทำอะไรก็ต้องคอยระวัง เกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจกัน ต้องคอยถนอมน้ำใจกันตลอดไป คุณพาณีคิดว่าถ้าถือพุทธก็ควรจะถือกันทั้งหมดบ้าน ไม่ควรจะถือแยกกัน แต่ก็คิดไม่ตกว่าจะชวนคนในบ้านให้นับถือคริสต์ทั้งหมด หรือตนเองจะร่วมนับถือพุทธด้วย

แล้วคืนหนึ่งก่อนเข้านอนก็ตัดสินใจว่า คืนนี้จะขออธิษฐานให้พระพุทธเจ้า และพระเยซูเจ้า ขอให้มาแสดงอภินิหารต่อสู้กัน ถ้าฝ่ายใดชนะก็จะตัดสินใจเด็ดขาดยอมนับถือศาสนานั้น ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก มุ่งหน้าปฏิบัตินับถือตลอดไป

ฉะนั้น ก่อนนอนจึงบูชาอ้อนวอนบอกกล่าวถึงความประสงค์ ทั้งฝ่ายพระเยซูคริสต์และพระพุทธเจ้าตามที่ตนปรารถนาไว้ เมื่อตัดสินใจเด็ดขาด ในคืนนั้นก่อนสว่างเกิดฝันเห็นพระสงฆ์สูงอายุห่มจีวรเก่าๆ มายืนเทศน์อยู่ที่หัวนอนว่า

“ดูก่อนสีกา การที่ประสงค์จะให้พระเยซูคริสต์กับพระพุทธเจ้า มาแสดงอภินิหารหรือใช้กำลังชิงชัยต่อสู้กันนั้น ทางพระพุทธศาสนาไม่มีการสอนให้ต่อสู้ ผิดศีล ศาสนาพุทธมีแต่สอนให้มีความเมตตากรุณา สอนให้จิตใจสงบจะเกิดสุข สอนไม่ให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สอนให้ละความชั่วสร้างความดี ให้ทำบุญสร้างกุศลเป็นทางละความโลภ โกรธ หลง นำไปสู่ความร่มเย็น ศาสนาพุทธมีแต่ชี้ทางให้ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ เพื่อจะกำจัดกิเลสตัณหา ฟอกจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์”

รุ่งเช้า คุณพาณีได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟังว่า ในฝันได้พบพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ได้บอกถึงศาสนาพุทธไม่มีการต่อสู้มีแต่ความสงบ แต่พระเยซูคริสต์ไม่ปรากฏว่ามา

คุณแม่บอกว่า “พระท่านมาโปรดแล้ว เป็นนิมิตที่ดีควรจะตัดสินใจเคารพนับถือพระพุทธศาสนา” และวันนั้นคุณแม่ก็นำตัวคุณพาณีไปที่วัดพระแก้ว พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียนให้ถวายตัวเป็นลูกพระแก้วมรกต เริ่มฟังธรรมและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ได้ศึกษาธรรมและทำสมาธิจนเกิดอำนาจจิตขึ้นอย่างอัศจรรย์ นี่ข้าพเจ้าได้ย่อมาจากหนังสือและคำบอกเล่าของคุณสาย รัตนสมบัติ

ขอเพียงยกตัวอย่างในเรื่องนี้ให้เห็นว่า พระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าท่านเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตากรุณา มีแต่ให้คุณไม่มีให้โทษให้ร้ายต่อใคร แต่พวกทำลายพระพุทธรูปเพื่อหาประโยชน์ใส่ตนนั้นเหมือนถูกสาป ถ้าได้มีโอกาสติดตามอย่างใกล้ชิดก็จะรู้เห็นว่าพวกนี้จะทำอะไรก็ไม่เจริญ รุ่งเรือง มีแต่ตกต่ำเสื่อมทรามลง บั้นปลายของชีวิตก็พบจุดจบด้วยกรรมตามสนอง

หากยังมีผู้ใดสงสัยในเรื่องกรรม ก็ขอให้ไปนมัสการถามพระคุณเจ้าท่านเจ้าอาวาสวัดโพธินิมิตร ฝั่งธนบุรี ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสผู้ทรงคุณธรรมสูงพร้อมด้วยเมตตากรุณา คงจะประทานความรู้เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหลายเรื่อง และจะได้มนัสการพระพุทธรูปยืนสององค์ซึ่งอยู่บนกุฏิของท่าน เป็นต้นเรื่องที่ข้าพเจ้านำมาเล่า เมื่อรู้เรื่องของกรรมดีแล้วจะได้มีโอกาสสำรวมสติตั้งใจเป็นสมาธิ และระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ด้วยอำนาจกุศล จิตใจเราผ่องใส เกิดความร่มเย็นเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ด้วยหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้มีแต่ความสงบสุขตลอดไป

ที่มา
มารศาสนา
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑

Friday, August 14, 2009

พระอาจารย์ประสิทธิ์ ถิรจิตโต อดีตครูสอนศาสนาอิสลาม



หลวงบังวัดนก กทม หรือพระอาจารย์ประสิทธิ์ ถิรจิตโต ท่านเป็นสายพระเกจิอาจารย์
มีพลังจิตที่สูงมาก โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยม นักร้อง นักแสดงชอบไปกราบขอพรจากท่าน
เดิมท่านเป็นมุสลิม เป็นครูสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียนสอนศาสนา มาก่อน
ท่านเชี่ยวชาญในภาษาอาหรับ ศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก
เดิมท่านชื่อ "อามีน" แปลว่า "ขอพระองค์ทรงโปรด"

ต่อมาเริ่มสนใจและศรัทธาในพุทธศาสนา จนขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
มีศีลาจาจัตรงดงาม จนเป็นที่เคารพศรัทธา และเป็นที่ไว้วางใจจากท่านเจ้าอาวาส
และมีเจตนาแน่วแน่ที่จะจรรโลงรักษาพุทธศาสนา
ถึงแม้ว่าท่านจะต้องถูกตัดญาติขาดมิตร และสังคมเดิมที่ท่านเคยมีอยู่


ที่ีมา
http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2-86674-112.html#post1413881

Wednesday, August 12, 2009

รักต่างศาสนา...คู่แท้สมานฉันท์ ความท้าทายกลาง"มรสุมศรัทธา"




มี ข้อบ่งชี้มากมายที่บ่งบอกว่า "สังคมมุสลิม" ในประเทศไทย เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากปัจจัยต่างๆ สิ่งหนึ่งซึ่งมองเห็นได้ชัด คือ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับคนที่นับถือศาสนาที่แตกต่างกันถึงขั้น "แต่งงาน" กันก็มีมากขึ้นอย่างน่าสนใจ
ใน มุมหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลดีต่อการสร้างความใกล้ชิดและความเข้าใจซึ่งกัน และกันระหว่าง "คนต่างศาสนา" อันจะนำมาซึ่ง "ความสมานฉันท์" ในสังคมที่มีความหลาก หลาย แม้บางครั้งเขาและเธอต้องเผชิญกับความ "ท้าทาย" บางอย่าง.....
ใน อีกมุมหนึ่งการสร้างการเรียนรู้ทาง "ศาสนาอิสลาม" ให้กับ "มุสลิมใหม่" เหล่านั้น ตกอยู่กับผู้รู้และผู้นำศาสนาในชุมชนอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพื่อให้พวกเขาดำรงตนอยู่ในหลักการของศาสนาอิสลามได้อย่างถูกต้อง อันจะนำไปสู่การสร้างสังคมมุสลิมที่มีคุณภาพตาม "ข้อบัญญัติอิส ลาม" ได้ แต่ดูเหมือน "ความรักกับคนต่างศาสนา" สำหรับมุสลิมนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดย เฉพาะ "ข้อกังวล" ในความรู้เรื่องหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ!!!
รายงาน การศึกษาเรื่อง "พื้นที่ทางสังคมระหว่างคนมุสลิมและคนต่างศาสนาในภาคใต้ : การวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการแต่งงานระหว่างคนต่างศาสนา" ของ "น.ส.อัมพร หมาดเด็น" อา จารย์ประจำหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช ได้อธิบายภาพปรากฏการณ์ดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
รายงาน ฉบับนี้ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณค่าและการปรับแนวคิดของคนมุสลิมและคนต่าง ศาสนาที่แสดงออกในพฤติกรรมและทัศนคติ ต่อการมีความสัมพันธ์และการแต่งงานระหว่างคนต่างศาสนา โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคม 2549 ถึง มกราคม 2550 ใน จ.ภูเก็ต และนครศรี ธรรมราช ซึ่งคนมุสลิมและคนต่างศาสนาในภูมิภาคนี้ไม่ได้เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ และ "กฎหมายครอบครัวมุสลิม" ไม่ได้มีอิทธิพลกับคนกลุ่มนี้มากเท่ากับมุสลิมกลุ่มใหญ่ใน 4 จังหวัดภาคใต้สุดติดชายแดนของประเทศ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ซึ่งการแต่งงานของมุสลิมในพื้นที่เหล่านี้จะถูกควบคุมโดย "กฎหมายครอบครัว" และ "มรดกของอิสลาม" ส่วนการแต่งงานของมุสลิมในจังหวัดอื่นถูกกำหนดโดย "กฎหมายแพ่ง"
ทั้ง นี้กรอบความคิดของการแต่งงานในศาสนาอิสลามถูกพิจารณาด้วยเรื่องศาสนาที่ผู้ นับถือสามารถปฏิบัติตามหลักศาสนาได้ ในหลักเบื้องต้น "ผู้นับถือ"(Believers) ที่กำลังจะแต่งงานจึง "ลำ บากใจ" ในเรื่องการแต่งงานข้ามศาสนา เพื่อให้พ่อแม่ของคู่แต่งงานหรือชุมชนยอมรับ แต่ในบางภา วะก็สามารถอนุญาตให้คนมุสลิมแต่งงานกับคนต่างศาสนาได้ ข้อยกเว้นนี้ใช้สำหรับ "หนุ่มมุสลิม" ที่จะแต่งงานกับ "หญิงชาวยิวและชาวคริสต์" ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็น "Ahlul Kitab" หรือ "People of the Book" ซึ่งมาจากความเข้าใจที่ว่าชาวยิวและชาวคริสต์มีทัศนคติด้านศาสนาที่คล้ายกัน
"แต่ การแต่งงานระหว่างหญิงมุสลิมกับชายต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากกว่า โดยหญิงมุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับผู้ใดที่ไม่ใช่ชายมุสลิม ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้หญิงให้แต่ง งานกับชาวยิวหรือชาวคริสต์ได้" รายงานระบุ
ใน รายงานฉบับนี้ยังระบุว่าจากการสังเกต "เพศ" พบว่า การแต่งงานระหว่างคน 2 ศาสนาในชุมชนมุสลิมนั้น ผู้หญิงพุทธจะมีความเป็นไปได้มากกว่าในการเปลี่ยนมานับถืออิสลามโดยการแต่ง งานตามพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม หรือ "Nikah".....ในเชิงเปรียบเทียบพ่อแม่ชาวมุสลิมและญาติๆรู้สึกรับหญิงชาวพุทธ เข้ามาเป็นมุสลิมได้ง่ายกว่าผู้ชาย ชาวบ้านหลายคนผูกความเชื่อและการยอมรับไว้กับความเห็นของหัวหน้าครอบครัว ซึ่งโดยทั่วไปเป็นผู้ชายและกับระบบความเชื่อ ผู้หญิงจะได้รับการปกป้องมากกว่าในครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายมีอิสระมากกว่าที่จะออกไปสร้างสัมพันธ์กับคนต่างศาสนา
ผู้หญิง ชาวพุทธจะถูกขอร้องให้อยู่ในชุมชนมุสลิม และครอบครัวจะสอนกฎระเบียบของศาสนาและการปฏิบัติตนหลัง Nikah ในขณะที่ชายต่างศาสนาถูกขอให้เข้าเป็นมุสลิมก่อนและหลังการเปลี่ยนศาสนา และ Nikah รวมทั้งการปฏิบัติพิธีกรรมเพื่อเข้าศาสนาอิสลาม คือ "พิธีสุหนัต" มีชาวพุทธมากมายที่อยู่กินกับคู่รักชาวมุสลิมก่อนแต่งงาน แต่ไม่ได้หมายถึงพวกเขาไม่ตระหนักในแบบแผนทางเพศของอิสลาม หรือกลัวต่อบาปในการผิดประเวณี แต่วิธีการที่ได้มาจากความคิดมุสลิมบางคนและขนบธรรมเนียมคือ "เข้มงวด-ไม่ผ่อนปรน" เช่นกรณีของ "อิมราน" (Imran).....
บิดา ของ "อิมราน" เป็นอดีตอิหม่ามที่อ่าวมะขาม และรับไม่ได้กับการที่บุตรชายผู้ซึ่งเรียนจบจากโรงเรียนอิสลามไปมีความ สัมพันธ์กับหญิงต่างศาสนา หลังจากที่อิมราน ไม่ประสบความ สำเร็จในการขอให้พ่อแม่จัด Nikah ให้ พวกเขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปเกือบ 2 ปี โดยหญิงต่างศาสนาที่อิมราน ต้องการ Nikah ด้วยเป็น "คนจีน-ไทย" ซึ่งถูกกล่าวถึงโดยมุสลิมว่า "sa-jeen" ซึ่งในความเข้าใจของคนมุสลิมนั้นคิดว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่สะอาด กินอาหารที่ขัดต่อกฎหมายอิสลามโดยเฉพาะเนื้อหมู ภาพของ sa-jeen ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานานนั้น ทำให้ "คนแขก" รู้สึกไม่ค่อยสนิทใจที่จะเข้ามาร่วมสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด โดยเฉพาะถึงขั้นแต่งงาน
"มุสลิม เชื่อว่าการเปลี่ยนศาสนาไม่ใช่แค่ได้สถานะเป็นมุสลิมเท่านั้น แต่เขาหรือเธอยังเป็นผู้บริสุทธิ์จากการทำบาปในครั้งอดีตที่ได้รับการอภัย จากพระเจ้าด้วย" รายงานของ "อัมพร" ระบุ
ขณะ ที่ความคาดหวังของชุมชนมุสลิมนั้น คือ ผู้ชาย-ผู้หญิงต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามและประพฤติตัวดังเช่นมุสลิมทั่วไป เช่นกรณีของ "ฟาติน"(Fatin) หญิงมุสลิมใน อ.ท่าศาลา จ.นคร ศรีธรรมราช ที่แต่งงานกับชายชาวพุทธ และไม่เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามตาม "กฎหมายจารีต" เรื่องการแต่งงาน.....
"ฟา ติน" เติบโตขึ้นในชุมชนมุสลิมและจำต้องแต่งงานกับสามี เธอเรียกมันว่า "การแต่ง งานเพราะอุบัติเหตุ" แทนการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานหรือการกระทำผิดจารีต เธอพยายามทำให้สามีศรัทธาและเปลี่ยนมานับถือศาสนาเดียวกับเธอ แต่ไม่ประสบผล "ฟาติน" ยอมรับว่า หลังเกือบ 20 ปีของชีวิตแต่งงาน มีลูกสาว 2 คน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของสามี เธอไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมอิสลาม แต่ยังแสดงตัวว่าเป็นมุสลิมอยู่ อย่างไรก็ตามความรู้สึก "ทุกข์ใจ" ที่เกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตของเธอเป็นผลมาจากการกระทำที่เธอทำกับพ่อแม่ เธอไม่ได้ต้องการการแต่งงานกับคนต่างศาสนา อยู่ด้วยกันโดยไม่ได้เข้าพิธี nikah .....
"ฟาติน" รู้สึกเป็นบาปต่อพ่อแม่ของเธอ!!!
กรณี นี้แสดงให้เห็นถึงอีกรูปแบบหนึ่งของการอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงาน ซึ่งแตกต่างจากกรณีของอิมราน ในเรื่องความแตกต่างของการกระทำให้ประสบผล การแต่งงานของฟาติน เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายจารีต ในขณะที่อิมราน ใช้กฎหมายการแต่งงานของอิสลาม nikah ทั้ง 2 กรณีหมาย ถึงการเอาชนะอุปสรรคเพื่อการแต่งงานกับคนต่างศาสนา หลังจากที่ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงาน พวกเขาก็เผชิญกับสิ่งที่ได้กระทำไปแล้ว การแต่งงานโดยส่วนใหญ่พ่อแม่จะเป็นผู้ยินยอมและรับรู้ พวกเขาเป็นคู่กันแล้ว จึงไม่มีทางที่จะห้ามปรามได้
การ แต่งงานระหว่างคน 2 ศาสนา ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนเฉพาะชีวิตส่วนตัวของผู้คนแค่เพียงชื่อ หรือการกระทำเท่านั้น แต่ชุมชนไม่สามารถปฏิเสธความต้องการในการปรับตัว และความซื่อ สัตย์ต่อรูปแบบครอบครัวใหม่แห่งยุคร่วมสมัย การดำรงอยู่ร่วมกันแม้จะผ่านความยุ่งยากของการแต่งงานระหว่างคนต่าง ศาสนา.....
แต่ความแตกต่างของศาสนาไม่อาจกีดขวางการธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ได้!!!

วันที่ 7/3/2007

ที่มา
http://www.naewna.com/news.asp?ID=51187

คู่สามีภรรยาชาวยูเครนประทับใจเมืองยิ้ม เข้ามนับถือพุทธศาสนา





นักปฎิบัติการจิตวิทยาชาวยูเครน พาสาวเมืองเดียวกันท่องเที่ยวไทย ประทับใจสยามเมืองยิ้ม จูงมือกันเข้าพิธีแต่งงานแบบไทย ให้พระสงฆ์สวด คล้องสายมงคล ปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ ถวายภัตราหารเพล ชื่นชอบวิถีชีวิตแบบพุทธ เปิดใจมาเที่ยวประเทศไทย พบ 2 คนที่น่าเบื่อ และน่ากลัว คือคนเมา และคนขับรถแท็กซี่

เรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยจาก นายจิรพฤทธิ์ โสดร ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด สวนนงนุชพัทยา ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่าได้มี นายอเล็กซานเดอร์ โดนี่เยียนโค่ อายุ 35 ปี นักปฎิบัติการจิตวิทยา สาธารณรัฐยูเครน ได้จูงมือ นางสาวเยกกาจีรีน่า อายุ 27 ปี แฟนสาว สัญชาติ และอาชีพเดียวกัน เข้ามาติดต่อเพื่อขอให้จัดพิธีแต่งงานแบบประเพณีไทย ในบ้านทรงไทย ขี่หลังช้างไทย โดยมุ่งเน้นให้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ คล้องสายมงคล และปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจิมหน้าผากคู่บ่าวสาว เพื่อเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิตคู่ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มีโอกาสเข้ามา เที่ยวและสัมผัสวิถีชีวิตจริงของคนไทย สมกับเป็นสยามเมืองยิ้ม และจะยึดหลักปฎิบัติในการดำรงชีวิตประจำวัน และชีวิตคู่แบบธรรมเนียมไทย นับถือศาสนาพุทธ

นายอเล็กซานเดอร์ โดนี่เยียนโค่ เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวชอบเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศต่าง ๆ หลายประเทศในโซนเอเชีย บางประเทศก็รู้สึกน่ากลัว ท่องเที่ยวด้วยความหวาดระแวงในชีวิตและทรัพย์สิน บางประเทศก็ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวต่างผิวพรรณ ต่างศาสนา และต่างประเพณีกัน แต่ยอมรับว่าเมื่อได้มาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยได้พาแฟนสาวเข้ามาท่องเที่ยวด้วย โอกาสแรกรู้สึกไม่ดีกับคนขี้เมา และคนขับรถแท็กซี่ ซึ่งเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวที่สุด เพราะเมื่อลงจากเครื่องบิน สิ่งที่พบต่อไป ก็คือคนขับรถแท็กซี่ ที่ต้องเหมาไปส่งโรงแรม แต่เมื่อได้มีโอกาสได้ท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่นเมืองพัทยา สวนนงนุชพัทยา และอีกหลายแห่ง ปรากฏว่าได้ลบล้างสิ่งที่เราคิดว่าเลวร้าย 2 อย่างออกไปเกือบหมดสิ้น ก็คือ คนขับรถแท็กซี่ และคนเมา ที่ชอบรบกวน เพราะวิถีชีวิตของคนไทยน่ารัก น่าศรัทธาอย่างมาก ยิ้ม ต้อนรับ แบบไม่หวังผลตอบแทน

และยังได้กล่าวอีกว่าด้วยการที่เห็นวิถีชีวิตของคนไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงได้จงใจ ตั้งใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย เพื่อศึกษาคนไทยโดยได้พาแฟนสาวมาด้วยนั้น ทำให้เกิดแนวคิดกับแฟนที่ได้รักกันแนบแน่นมาแล้ว 6 เดือน เข้าพิธีแต่งงานแบบไทย เรา 2 คน จะได้ศึกษาการดำเนินชีวิตที่ราบเรียบ มีความสุข ทำบุญ ให้ทาน นับถือศาสนาพุทธ ไหว้พระ ก็จะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข ความสงบมากยิ่งขึ้น ชีวิตคงสดชื่นมากไปกว่านี้ เมื่อกลับไปบ้านเกิดก็จะพยายามใช้ชีวิตประจำวันแบบคนไทย นับถือศาสนาพุทธ ต่อไปให้ยาวนาน

นายจิรพฤทธิ์ โสดร เปิดเผยว่า จากการสังเกตตั้งแต่คู่รักแต่งชุดไทย เขารู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะนั่งหรือเดิน คู่รักคู่นี้จะแสดงความรัก ผูกพันด้วยการจูบกันหลายร้อยครั้ง และยังได้ขอนั่งหลังช้างชมสวนสวยอีกด้วย ซึ่งหนุ่มสาวชาวยูเครน ถือว่าเป็นอีกโปรแกรมหนึ่งในการเป็นจุดขายการท่องเที่ยวที่กำลังทรุดอย่าง หนัก ทั้งคู่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ได้ตกลงปลงใจกับแฟนสาวแล้วว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตคู่แบบชาวพุทธ วิถีไทยให้มากที่สุด เพราะรู้สึกประทับใจคนไทย ชื่นชอบวิถีชีวิตแบบคนไทย ดูเรียบง่าย อ่อนน้อม และมีเมตตา และเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ชาวยูเครนได้ติงคนเมา และคนขับรถแท็กซี่ซึ่งสร้างปัญหาในภาพรวมของนักท่องเที่ยว ต้องให้ชมรมรถแท๊กซี่ละลายพฤติกรรมคนที่ชอบเห็นแก่ตัว โก่งค่าโดยสารชาวต่างประเทศ เพราะจะทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวเสียหาย


วันที่ 13/6/2009

ที่มา http://www.naewna.com/news.asp?ID=165804

ดร.วรพัฒน์ ภู่เจริญ อดีตวิศวกรขององค์การอวกาศนาซ่า.........."หลักคำสอนของคริสต์แก้ปัญหาชีวิตให้เราไม่ได้"


ดร.วรพัฒน์ ภู่เจริญ บริการจัดการองค์กรด้วยหลักพุทธธรรม

หากเอ่ยถึงที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ในแวดวงนักบริหารน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ‘ดร.วรพัฒน์ ภู่เจริญ’ เจ้าของบริษัทพรีม่า แมเนจเม้นท์ จำกัด เนื่องด้วยเขาเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการที่ได้รับการยอม รับจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายต่อหลายบริษัทของเมืองไทย ไม่แปลกที่บริษัทเหล่านี้ว่าจ้างให้เขาเข้าไปทำการ ปรับกระบวนยุทธ์ในการบริหาร แต่ที่น่าแปลกใจคือ กลยุทธ์ที่เขาแนะนำแก่บริษัทต่างๆนั้น ไม่ได้มาจากตำราหรือหลักการบริหารของฝรั่งมังค่า ทว่ามาจาก ‘หลักธรรม’ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เขายืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของวิชาทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริง



• ทราบว่าตอนแรกอาจารย์นับถือศาสนาคริสต์ ทำไมจึงเปลี่ยนมาเป็นพุทธคะ
เดิมผมนับถือศาสนาคริสต์ คือเป็นคริสต์กันทั้งบ้านแต่มาพบว่าหลักคำสอนของคริสต์แก้ปัญหาชีวิตให้เรา ไม่ได้ เลยหันมาศึกษาพุทธศาสนาและเปลี่ยนมาเป็นพุทธเมื่อ 8 ปีที่แล้วตอนนั้นก็ปาเข้าไปอายุ 39 แล้วนะ(หัวเราะ) แต่เป็นพุทธได้สัก 2 ปีก็รู้สึกว่าจริงๆแล้วโลกนี้มีแต่ความว่างเปล่า ต้องขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้ให้เราเห็นว่า สุดท้ายแล้วชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอนและวิธีที่จะสยบความเปลี่ยนแปลงก็คือ ความว่างภายในใจของเรา ถ้าใจสงบก็สามารถสยบความเคลื่อน ไหวภายนอกได้หมด เหมือนตรงกลางพายุซึ่งรอบๆหมุน วนแต่ตรงกลางสงบ จิตกับความคิดนี่คนละตัวกันนะ ขณะที่เราใช้สติควบคุมความคิด เราต้องรักษาความว่างของจิตไว้


• แล้วเริ่มเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาอย่างไร
โอย..กว่าผมจะเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ก็ไปหลงงมงายอยู่พักหนึ่งแบบ ‘เมาศรัทธา’ ห้อยพระเครื่องเต็มตัวเลย เมื่อก่อนนี้ คือช่วงนั้นผมบาดเจ็บกระดูกหลังหัก ก็เลยพึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ต่อมาก็มานั่งพิจารณาดูว่า เอ...การห้อยพระเครื่องหรือมีพระพุทธรูปเต็มบ้านนี่มันใช่ทางดับทุกข์ หรือเปล่า ก็พบว่าไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือก เรายังเจาะไปไม่ถึงหัวใจของพุทธศาสนา

พอเรารู้ว่านี่ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ก็มาเจอด่านที่ 2 คือ ‘เมาบุญ’ ผมบ้าทำบุญ สร้างวัด สร้างเจดีย์ไปเรื่อย ตอนนั้นผมสร้างเจดีย์ทั้งองค์เลย สร้างไว้ที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งเราได้ในเรื่องของทานนะ แต่ไม่ได้ปัญญา ช่วงนั้นก็โลภบุญ คือทำบุญแล้วก็อยากจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อยากจะหายป่วยไข้ อยากจะร่ำรวย ซึ่งจริงๆ แล้วเราต้องทำไปพร้อมๆกันนะ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่าการทำบุญเหมือนกับการฝากธนาคารแบบสะสมทรัพย์ระยะยาว ไม่สามารถเอาบัตรเอทีเอ็ม ไปกดเพื่อเบิกบุญตรงนั้นออกมาใช้ได้ บุญเราได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะส่งผลเมื่อไร ก็เมาบุญอยู่พักหนึ่ง มานั่งพิจารณาอีกก็พบว่ามันไม่ใช่

ผมจึงเข้าไปศึกษาธรรมะด้วยการบวช แต่ก่อนบวช ผมก็ศึกษาก่อนนะว่าจะเลือกวัดไหนดี (หัวเราะ) ก็ดูจากสื่อต่างๆบ้าง ถามจากเพื่อนที่เขาเป็นทหารบ้าง เพราะพวกนี้ต้องเดินทางไปทั่วประเทศ เขาก็จะรู้ว่าวัดไหนน่าไป ก็ได้คำแนะนำว่าน่าจะไปศึกษาธรรมะกับพระอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ผมจึงไปบวชและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่จันทรา ฐาวโร ที่วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขาว พระอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น


ที่มา : http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.a...D=9480000135348

Tuesday, August 11, 2009

จีราภา เศวตนันท์ จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

จีราภา เศวตนันท์

วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย

เดิมทีข้าพเจ้าไม่ได้นับถือศาสนา พุทธมาก่อน ไม่เคยศรัทธา ไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้ามีจริง โดยเฉพาะเรื่องการทำสมาธิ ก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เรียกว่า ถ้าเอ่ยกันถึงคำว่า “พุทธ” จะมีความรู้สึกว่าไม่ชอบเอาเสียจริงๆ


ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเคยได้ รับคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่า พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน มีแต่เพียงคำสอนซึ่งเป็นพระคัมภีร์ แต่ถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ตายไปนานแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ฉะนั้นการกราบไหว้บูชารูปปั้นนั้น มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเอง แล้วก็โมเมเอาว่านี่แหละคือพระพุทธเจ้า บูชากันไปบูชากันมา ดีไม่ดีกลายเป็นพวกผีไม่มีญาติเข้าไปสิง จะกลับให้โทษเสียอีก หรือถ้าบูชาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป


แล้วเรื่องการทำสมาธิอีกอย่าง อย่าให้นั่งเด็ดขาด จะทำให้เป็นบ้าไปเลยก็ได้ เพราะเมื่อนั่งๆ ไป จะต้องเห็นผีสางต่างๆ นานา ที่ผู้ใหญ่ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะรู้ว่าเด็กๆ ทุกคนย่อมกลัวผีเป็นธรรมดา เรียกว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เขาจะต้องต่อต้านทุกเรื่องไป


ที่ว่าไม่ได้นับถือพุทธ คือบิดาเป็นคริสตัง มารดาเป็นมุสลิม แต่บิดาเสียไปในขณะที่มารดาตั้งท้องข้าพเจ้าได้ ๒-๓ เดือน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนับถืออิสลามตามแม่ ซึ่งแน่นอนที่สุด ในครอบครัวชาวมุสลิมเขาจะเคร่งครัดในศาสนามาก การวางตัวในสังคมก็มีขีดจำกัดไปเสียทุกอย่าง แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้สามีเป็นชาวพุทธ แถมยังชอบและสนใจในเรื่องปฏิบัติธรรมเสียอีก


วันหนึ่งสามีของข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสือที่กล่าวถึง “ธรรมกาย” ของหลวงพ่อสด ซึ่งมีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปมาอ่าน อ่านแล้วก็คุยกันตามประสาสามี-ภรรยา เรามีความเห็นว่า เท่าที่ได้อ่านและถามๆ คนอื่นดู ก็รู้สึกว่า ธรรมกายนั้นถ้าจะปฏิบัติไม่ใช่ของง่ายๆ เคยมีคนเขาบอกว่า ที่ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ (วัดภูเขาทอง) เขามีสอนอยู่ จะชวนข้าพเจ้าไป ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบวิชานี้ เราไม่ไป เขาก็ [จึง] ไม่ไป เป็นอันจบ


หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้ฝันว่า หลวงปู่ทวดท่านมาชวนว่า ให้จับมือท่านไว้ จะพาไปพบ“หลวงพ่อสด” ที่พระนิพพาน ในฝันว่าลอยไปอย่างสบายเลย คำแรกที่หลวงพ่อสดท่านพูดกับข้าพเจ้าก็คือ “เราชื่อสด จะมาฝึกธรรมกายไหม ?” ใน ฝันก็ตอบท่านไปว่า “ไม่ฝึก” เพราะเคยอ่านหนังสือเลยรู้สึกยาก ท่านก็ไม่พูดอะไร ทำหน้าเฉยๆ เมื่อตื่นขึ้นก็เล่าให้สามีฟัง เขารีบบอกทันทีว่าเป็นนิมิตที่ดี ในที่สุดก็ขัดคำชวนที่จะไปวัดสระเกศไม่ได้ เรื่องวัดเรื่องวาก็ไม่เคยจะรู้ธรรมเนียมเท่าไรนัก รับศีลก็ไม่เป็น ต้องเอาหนังสือของวัดมาดูเวลาที่เขารับศีล วุ่นวายอยู่เป็นเดือน แม้แต่ปัจจุบัน การสวดมนต์ทำวัตรก็ยังไม่ค่อยเป็นเท่าไรนัก อาศัยฟังบ่อยๆ ก็ชักชินหู


การฝึกปฏิบัติธรรมในวันแรก ก็แยกกลุ่ม วิทยากรเขาแนะนำให้กำหนดดวงแก้วกลมใส ประมาณเท่าฟองไข่แดงของไก่ เริ่มจากช่องจมูกซ้าย ว่า “สัมมาอะระหังๆๆ” แล้วเลื่อนดวงแก้วไปตามฐานต่างๆ จนถึงฐานที่ ๗ เหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ ให้จรดใจนิ่งไว้ตรงกลางดวงแก้วกลมใสนั้น แล้วกำหนดจุดเล็กใสขึ้นที่ศูนย์กลางดวงแก้วกลมใส เขาให้ทำอะไรก็ทำตามไป ไม่ได้คิดอะไร ครั้นเมื่อนิ่งถูกส่วนเข้า วิชชาก็เริ่มเดิน* [คำว่า “เดิน” ในที่นี้ หมายถึง “เจริญ” กล่าวคือ เจริญภาวนาหรือเจริญวิชชา] จากดวงปฐมมรรคเข้าสู่กายธรรม กายในกาย ณ ภายใน เริ่มโตใหญ่ใสละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ตายแล้ว อะไรกันนี่ ! จิตใจเริ่มสับสน เมื่อใจไม่จรดศูนย์ วิชชาก็หยุดเดิน* เมื่อคลายจากสมาธิ วิทยากรถามว่า เห็นดวงแก้วแจ่มใสไหม ? เลยตอบว่า “แจ่มใสดีค่ะ"


อาทิตย์ต่อมาก็ได้ ๑๘ กาย กับพระวิทยากร จึงรู้ว่า เป็นอย่างที่เราทำได้ถึงในคราวก่อน เลยเสียท่าไปแล้ว เมื่อพระท่านสอนเสร็จ ก็มีการซักถามกันพอสมควร ว่าทำไมกายพระคือเรานั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็ให้ความกระจ่างดี จึงเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว ทีนี้ชักเริ่มสนุก แต่ยังคิดไม่ถึงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปอีก เพียงแต่พระวิทยากรท่านว่า ต่อไปนี้อย่าให้เสียท่าอีกนะ ให้ปล่อยใจหยุดนิ่งไปตามญาณวิถี ในที่สุดก็ได้ต่อวิชชาชั้นสูงกับหลวงพ่อเสริมชัย แต่ก่อนที่จะได้ฝึกกับท่าน ได้ทำสมาธิ เดิน ๑๘ กาย ซ้อนสับทับทวีที่บ้าน ก่อนจะคลายจากสมาธิ ก็หยุดตรึกนิ่งไปที่จุดสุดท้ายของการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็น ตามที่พระวิทยากรท่านสอน ก็มีเสียงก้องกังวานขึ้นว่า “วันข้างหน้าจะต้องพบกับอาจารย์ที่มีสายสัมพันธ์กันในอดีต เขาผู้นี้จะรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง และจะเป็นผู้ให้วิชชาทั้งหมดแก่เรา"


ต่อมาจึงได้รับการฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงกับ หลวงป๋า [หมายถึง พระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ซึ่งผู้เขียนมีความเคารพเสมือนบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางธรรม] ในการฝึกวิชชาชั้นสูง นับตั้งแต่เริ่มพิสดารกาย เป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ฯลฯ คำสอนต่างๆ ของหลวงป๋าในวิชชาชั้นสูงนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นเมื่อเจริญภาวนาเสร็จแต่ละครั้ง ต้องคอยถามว่าจุดนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้นใช่ไหม ? ตามปกติเป็นคนไม่ค่อยกล้า แต่ก็กลัวจะทำผิดจากวิชชาของท่าน จึงจำเป็นต้องรายงานผลการปฏิบัติให้ท่านทราบตลอดเวลา ประกอบกับหลวงป๋าท่านมีเมตตา เอาใจใส่กับลูกศิษย์ ในที่สุดก็เข้าถึงต้นธาตุต้นธรรม ... เราทำผิดท่านก็ไม่เคยว่า ยิ่งทำให้เรามีกำลังใจและเกิดความอบอุ่น


อยู่มาวันหนึ่ง หลวงป๋าท่านเรียกมานั่งข้างหน้าเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติ ... ก็พอดีศาลาข้างๆ มีงานศพเป็นคนจีน หูเราก็บังเอิญได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ ไปแวบคิดว่าสวดอย่างนี้เขาเรียกว่าสวดกงเต็กหรือเปล่า ? เสียงหลวงป๋าพูดทันที “ให้มานั่งสมาธิ ไม่ใช่มาคิดนอกเรื่อง” ไม่ใช่ครั้งนี้ที่ท่านคอยเตือน ตลอดเวลาที่เจริญภาวนากับท่าน จะได้ยินคำเตือนเสมอ เมื่อจิตไม่ตกศูนย์ นี่แสดงว่าตลอดเวลาท่านจะคอยประคับประคองจิตของเราให้หยุดให้นิ่งอยู่ตลอด เวลา ในเรื่องของวิชชา ท่านไม่เคยหวงใคร รับได้เท่าไร ตามสภาพภูมิธรรม ท่านก็เปิดให้หมด


ในที่สุดเราก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานในพระนิพพาน เข้าถึงธาตุล้วนธรรมล้วนของต้นๆ ... ได้รู้ซึ้งถึงพลังและอานุภาพของธรรมกาย โดยการมุ่งเข้าสู่เขตธาตุเขตธรรมต่อๆ ไปเป็นทับทวี โดยไม่ถอยหลังกลับ ... หลวงพ่อสดก็ผุดขึ้นพร้อมกับเสียงก้องกังวานมาทันทีว่า “ตนนั้นต้องทำให้วิชชาธรรมกายให้เป็นวิชชาที่ไม่ตาย ความหมายก็คือ ให้ทำวิชชาเป็นอยู่ตลอดเวลา และต้องเผยแพร่ต่อๆ ไปด้วย ข้อสำคัญ ต้องรวมธาตุธรรมของศาสนาทุกศาสนา ทุกสี ทุกสาย ทุกกาย ทุกองค์ ทุกวงศ์ มากลั่น และละลายธาตุธรรมนั้น ดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์จนหมดธาตุธรรมภาคดำและกลางๆ และให้เป็นแต่ธรรมกายที่เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ไม่มีคำว่า สี สาย นิกาย ฯลฯ ต่อไป ตั้งแต่มนุษย์โลกขึ้นไปจนถึงจักรวาลในจักรวาลต่อๆ ไป จนทำให้ธรรมกายนั้นยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้ แต่จงจำไว้ จำทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวิชชารบหรือการสะสางธาตุธรรม ฯลฯ จะต้องใช้เมตตาพรหมวิหารเป็นที่ตั้ง อย่าทำด้วยความรุนแรง (ด้วยกิเลส) และขาดสติ แล้วจะประสบผลสำเร็จ"


ดังนั้นเมื่อต้องทำวิชชารบกับมารทีไร ถ้าจิตคิดว่าต้องเอาชนะให้ได้ เสียงของหลวงพ่อสดจะดังก้องขึ้นมาทันทีว่า“จงใช้เมตตาเป็นที่ตั้ง ทำเช่นนั้นไม่ถูก” จิตที่กล้าแข็งก็เริ่มอ่อนโยนลงทันที ใจก็คิดว่า การที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะหน้าที่ ไม่ใช่ด้วยความอาฆาต ก็น่าแปลก ฝ่ายมารเขาจะเริ่มถอยวิชชาของเขาออกไปทีละน้อย แต่เราต้องคิดเสมอว่าต้องไม่ประมาท โดยเราต้องทำวิชชาให้นำหน้าเขาอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะถูกภาคมารเขาสอดเข้ามาในสุดละเอียดของเราได้


ฝึกเดินวิชชาอยู่ประมาณเดือนเศษ ก็มีการอบรมพระกัมมัฏฐานที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ।ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ในเดือนธันวาคม หลวงป๋าก็ชวนให้ไปที่ดำเนินสะดวก เมื่อไปถึงที่นั่น ก็ไปยืนอยู่ข้างๆ ศาลาอเนกประสงค์ หันหน้าไปทางซ้ายมือ เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่รอบเกาะ รู้สึกว่าลมเย็นสบายดี จึงยืนทำวิชชาเข้าสุดละเอียดไปเรื่อยๆ เมื่อหยุดตรึกนิ่งก็เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากกลางบ่อนั้น จึงสอบถามคนที่นั่นว่า ตรงนั้นเขาจะสร้างอะไรหรือ ? ต่อไปบริเวณเกาะนั้นจะเป็นวิหารธรรมกาย ต่อไปเมื่อเป็นวัด จะยกฐานะขึ้นไปอุโบสถ พอรู้เช่นนั้น ความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้น ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไรเหมือนกัน


ในการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ (รุ่นที่ ๑๑) คราวนั้นหลวงป๋าท่านเมตตาอนุญาตให้เป็นวิทยากรสอนโยมเป็นครั้งแรก พูดก็ไม่เป็น ยังเขินๆ อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกกลัวไปเสียหมด ทีกลัวเพราะว่า กลัวจะพูดไม่เข้าใจ แล้วก็กลัวเขาจะว่า สอนเขาแล้วตัวเองรู้หรือเปล่าว่าเขาเห็นจริงหรือไม่ หันไปหันมา ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเข้าไปในธาตุธรรมของหลวงพ่อสด สวมความรู้สึกเข้าไปเป็นท่านเลย ก็น่าแปลก ความประหม่าหายไปหมด กลับมีพลังอะไรไม่รู้เกิดขึ้น คือมีความคิดว่าจะต้องทำตัวเราให้ใส สักครู่เป็นการตั้งสติไปในตัว พอเริ่มสอน ระหว่างที่พูดก็เอาธาตุธรรมของแต่ละคนมาซ้อนในที่สุดละเอียดของเรา ตอนนั้นมีลูกศิษย์อยู่ ๔-๕ คนเห็นจะได้ ก็เห็นทันทีว่าแต่ละคนเขาทำได้แค่ไหน สอนเสร็จคลายจากสมาธิ ก็ยังไม่เชื่อตัวเองอีก จึงทดสอบตัวเอง โดยการสอบถามทีละคนตามสภาพภูมิธรรมของแต่ละคน ปรากฏว่าถูกต้องหมด ก็เกรงว่า นี่เราทำอะไรโดยพลการหรือเปล่าหนอ ? จึงรีบกราบเรียนหลวงป๋า ท่านกลับไม่ว่าอะไร แถมยังแนะนำเคล็ดลับวิชชาครูเพิ่มให้อีก แล้วยังสอนให้เดินเครื่องธาตุเครื่องธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้ผู้ที่ทำวิชชาฝืดๆ เพื่อที่เขาจะได้เดินวิชชาอย่างแจ่มใสโดยตลอดอีกด้วย ความรู้ในเรื่องวิชชาเริ่มได้รับจากท่านเป็นระยะๆ อย่างไม่เคยหวงวิชชาเลย บุญคุณอันนี้ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดได้


ทีนี้ ขอย้อนกล่าวถึงสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ।ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ทุกครั้งที่มีการอบรมเยาวชนก็ดี อบรมพระก็ดี จะเห็นเหล่าเทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม เต็มท้องฟ้าไปหมด เรียกว่า สว่างไสวไปทั่วทั้งสถาบันเลย เขาคงมาเป็นกำลังใจอนุโมทนากับเหล่าพุทธบริษัทที่มาอบรมกันตลอดเวลา สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นมีพญานาคองค์มหึมาคอยอำนวยความสะดวกให้ คือพอเริ่มนั่งสมาธิทีไร จะเป็นการสอนหรือทำวิชชาก็ดี เขาจะมาขดเป็นอาสนะเหมือนปางนาคปรกให้เราสบายดีอีกด้วย นี่ที่สถาบันฯ นะ ต่อพอกลับกรุงเทพฯ เขาไม่ยอมตามมาด้วยหรอก น่าเสียดาย เพราะเวลาเขาให้เรานั่ง รู้สึกสบายบอกไม่ถูก จึงกราบเรียนเล่าให้หลวงป๋าฟัง ท่านบอกว่าเป็นของประจำอยู่ที่สถาบัน ช่วยดูแลสถาบันฯ ของเรา ก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่ เพราะตลอดเวลาที่ทำวิชชากับท่าน จะเห็นประจำอยู่แล้ว ว่าพลังและอำนาจของบุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ของท่านมหาศาลขนาดไหน ใครอยากรู้ลองแอบดูเอาเอง ถ้าจิตเข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดและเป็นสายธาตุธรรมเดียวกันคือสาย ขาว ก็จะเห็นตามที่เป็นจริงได้ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเป็นเรื่องของวิชชา แต่อย่าลืมนะ ก่อนจะทำอะไรควรนึกขอขมาท่านเสียก่อนด้วย เพราะครูบาอาจารย์เป็นของสูง


เมื่อตัวเองนี้ได้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น เช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่ามัวเสียเวลาอันมีค่าของชีวิตเลย เพราะทุกลมหายใจเข้าออกนั้นมีค่าเสียเหลือเกิน มาปฏิบัติธรรมกันเถอะ ไม่มีอะไรยากเกินกำลังของมนุษย์เราเลย ถ้าท่านตั้งใจจะปฏิบัติธรรม รักษาศีลอย่างน้อยศีล ๕ เราไม่บกพร่อง ก็พ้นจากอเวจีมหานรกได้แล้ว ส่วนการปฏิบัติธรรมในแนวของธรรมกายก็ไม่ยากเลย เพียงแต่ขอให้ “หยุด” ตัวเดียวเท่านั้น ที่ว่ายากนั่นก็เพราะเราไม่หยุดจริงนั่งเอง ถ้าจิตของเราหยุดนิ่งจริงแล้ว การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายนั้นจะรู้ได้ทันทีว่า วิชชาไม่มีสิ้นสุด คือเราจะเข้าไปในที่สุดละเอียดขององค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดได้ เรื่อยๆ ถ้าท่านทำได้จะรู้สึกว่าการเจริญภาวนานั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเลย เพราะท่านสามารถค้นพบข้อมูลหรือสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา เป็นการเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติทั้งฝ่ายพระและฝ่ายมารในตัว เรานี้แหละได้ดี อย่างที่ท่านไม่เคยได้รู้เห็นมาก่อนเลย เป็นธรรมวิจยะ ให้สามารถแยกธาตุธรรมภาคพระ (ธรรมขาว) ภาคมาร (ธรรมดำ) ภายในตัวเราเองได้ แล้วเก็บธาตุธรรมภาคมาร (ธรรมดำ) เสีย ให้เหลือแต่ธาตุล้วนธรรมล้วนของฝ่ายพระ (ธรรมขาว) เป็นเราได้ มีผลให้กาย วาจา ใจ ของเราสะอาดบริสุทธิ์ ตรงกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ให้ละชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ประกอบแต่กรรมดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ และตรงกับพระพุทธวจนะที่ว่า กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต บัณฑิตพึงละธรรมดำเสีย พึงยังธรรมขาวให้เจริญ [สํ।มหา।19/28] เพราะว่าการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนฝ่ายพระหรือธรรมขาวนั้น ให้เป็นสุขด้วยความสงบดีนัก.


ที่มา

http://www.dhammakaya.org/expr/expr003.php

เจมี่ บูเฮอร์ กับ...จากอดีตคาทอลิก สู่พลังศรัทธาในพุทธ บูชาพระสมเด็จองค์ปฐม

เจมี่ บูเฮอร์ กับ...พลังศรัทธาในพุทธ



"เจ มี่ บูเฮอร์" บทบาทการแสดงที่ส่วนใหญ่จะได้รับบทนางร้าย นางอิจฉา จนทำให้หลายคนคิดว่า ตัวตนที่แท้จริงของเธอก็คงเป็นอย่างภาพที่เราเห็นกันทางทีวี แต่ที่ไหนได้


แท้ที่จริงแล้วภาพที่เห็นกับสิ่งที่เป็นกลับตรงกันข้าม เพราะทุกย่างก้าวของเธอผูกพันกับธรรมะ ถึงขั้นไปฝึกปฏิบัติธรรมเป็นประจำที่วัดใน จ. กาญจนบุรี

ขณะเดียวกัน เธอก็ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่ทองดี หรือ พระครูใบฎีกานิคม อมิโฆ เจ้าอาวาดวัดใหม่ปลายห้วย หมู่ ๑๑ ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร

ดยวันที่พบและสัมภาษณ์นั้น แทนที่จะเดินทางมาเยี่ยมกอง บก."คม ชัด ลึก" เพื่อมาโปรโมทงานละครเหมือนดารานักแสดงคนอื่นๆ แต่เธอเดินทางมาบอกบุกแจกซองผ้าป่าเพื่อสมทบทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธและหอผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลพิจิตร มูลค่ากว่า ๗๐ ล้านบาท โดยเธอตั้งใจว่าจะหาเงินไปสมทบทุนให้ได้ประมาณ ๑ ล้านบาท

เจมี่ บอกว่า พ่อแม่และครอบครัวเป็นคาทอลิก การที่เจมี่หันมาถือพุทธศาสนาเป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านรู้สึกไม่พอใจบ้างเล็ก น้อย แต่เมื่ออธิบายให้ท่านรู้ว่า ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดีทั้งสิ้น แตกต่างกันตรงวิธีและแนวคิดเท่านั้น

ซึ่งก่อนหน้านี้ศึกษาหลักการปฏิบัติของชาวคาทอลิก ไม่ว่าจะเป็นการสารภาพบาป ล้างบาป รวมทั้งการรับศีลมหาสนิท เรียกว่าเป็นคาทอลิกอย่างเต็มตัวก็ได้

ส่วนการนับถือพุทธศาสนานั้นเริ่มศึกษามา ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี เริ่มจากการอ่านประวัติประพุทธเจ้า หลักธรรมคำสอน อ่านพระไตรปิฎก สวดมนต์ และเมื่อมีเวลาว่างจากงานละครจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมทำบุญเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม ผลจากการปฏิบัติธรรมความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ทุกครั้งที่นักข่าวเขียนหรือวิจารณ์ถึงในทางลบ เดิมที่จะรู้สึกโมโหและโกรธมากๆ หากมีโอกาสจะโต้ตอบด้วยอารมณ์ที่โกรธฉุนเฉียว แม้ทุกวันนี้ความรู้สึกโกรธยังมีอยู่ เพราะยังเป็นปุถุชนเดินดินธรรมดา แต่เลือกที่จะวางเฉยมากกว่า มองว่าการติฉินนินทาสรรเสริญเป็นเรื่องธรรมดาโลก ยิ่งเป็นดารานักแสดงย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งเราเต้นตามกระแส คนที่ทุกข์ใช่ใครอื่นตัวเรานั่นเองที่ต้องทุกข์ เมื่อเราปล่อยวางก็ไม่ทุกข์ เมื่อไม่ทุกข์ก็คือสุขนั่นเอง

สำหรับความศรัทธาในองค์หลวงปู่ทองดีนั้น เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว ทั้งนี้มีเพื่อนชวนไปทำบุญที่วัดแห่งนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในครั้งนั้นหลวงปู่ทองดีให้พระพิฆเนศมาองค์หนึ่ง จากนั้นท่านก็มาเข้าฝันบ่อยๆ ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง โดยส่วนตัวแล้วศรัทธาและนับถือในองค์ท่าน และเชื่อด้วยว่า ท่านเป็นเทพที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ศรัทธาได้จริง

นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ทองดียังให้คาถานะมหาเศรษฐีมาบทหนึ่ง ซึ่งจะบริกรรมทุกๆ วันว่า "นะ คะ มะ มา คะ ฐี จะพะ กะ สะ เอ หิ จิต ตัง ปิ ยัง มะ มะ กา ละ วิ โก"
อย่างไรก็ตาม หากใครได้ไปเที่ยว วัดใหม่ปลายห้วย สิ่งหนึ่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่า คือ ลานเสาอโศกมหาราช ล้อมด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก จำนวน ๒๘ องค์

เจมี่ บอกว่า ลานแห่งนี้เสร็จด้วยตัวเองและเพื่อนๆ ที่มีศรัทธาอีกกว่า ๕๐ คน ร่วมบุญร่วมแรงกันสร้างด้วยกำลังแรงของตัวเอง ทั้งนี้วันใดหากเว้นว่างจากงานแสดงละครที่กรุงเทพฯ จะเดินทางไปแต่เช้า เพื่อไปช่วยเทปูนก่ออิฐ แล้วจึงกลับมากรุงเทพฯ ในตอนเย็น เหตุที่เดินทางไปทำด้วยตัวเองนั้นเพราะคำสอนหลวงพ่อที่ว่า การทำบุญด้วยเงินหรือจะสู้การทำบุญด้วยแรงกายและพลังศรัทธา

"ไม่ว่าจะเป็นงานสงกรานต์ เข้าพรรษา ออกพรรษา ลอยกระทง จะไปร่วมบุญที่วัดใหม่ปลายห้วยมาตลอดจนชาวบ้านเบื่อแล้ว ล่าสุดชวนดารากว่า ๒๐ คน ไปร่วมบุญทอดผ้าป่าดารา และวันที่ ๒๖ กรกฎาคม จะไปทอดผ้าป่าดาราอีก ดาราที่ไปโชว์ตัววัดอื่นคณะกรรมการหรือหลวงพ่อเจ้าอาวาสต้องจ่ายเงินค่าตัว แต่ดาราที่ไปร่วมบุญกับเจมี่นอกจากไม่ได้ค่าตัวแล้ว ยังต้องร่วมควักเงินส่วนตัวทำบุญด้วย" เจมี่ กล่าว

เมื่อถามถึงพระเครื่องที่พกติดตัวเป็นประจำ โดยในวันที่เธอเดินทางมายังกอง บก."คม ชัด ลึก" นั้น แม้ว่าจะใส่เสื้อเกาะอกโชว์ไหล่ หลายคนอาจจะคิดว่า เธอคงเก็บพระไว้ในกระเป๋าถือเหมือนคนทั่วๆ ไป แต่ที่ไหนได้ เธอได้หยิบพระเครื่ององค์ใหญ่ ที่เหน็บไว้ชายเกาะอกออกมาให้ดู ซึ่งเป็น พระสมเด็จองค์ปฐมเนื้อทองคำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เป็นรูปพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีเรือนแก้ว ใต้ฐานมีช่องกลม ใต้ฐานเขียนว่า สมเด็จองค์ปฐมอกมาโชว์ พร้อมกับบอกว่า

"เจมี่ไม่เคยลืม พระสมเด็จองค์ปฐม เลย สักครั้งเดียว ไม่ว่าจะเดินแฟชั่นโชว์ตัว นุ่งสั้นสายเดี่ยวโชว์ไหล่ ก็จะอาราธนาท่านติดตัวไว้ตลอด แม้กระทั่งเดินทางไปต่างประเทศ โดยจะเหน็บไว้ที่หนึ่งที่ใดของเสื้อ เพราะรู้สึกว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถช่วยป้องกันให้ปลอดภัยจากทุกสรรพสิ่ง"

ส่วนเหตุการณ์ที่เรียกว่าปาฏิหาริย์นั้น เจมี่ เล่าให้ฟังว่า เกิดขึ้น ๒ ครั้ง คือ ครั้งหนึ่งเกิดเมื่อตอนไปอยู่ที่อเมริกา ระหว่างเดินเที่ยวอยู่นั้นรู้สึกว่าหลงทาง จึงถามทางกับคนงานก่อสร้างคนหนึ่ง ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าระยะทางไกลกว่า ๔ กิโลเมตร ไม่มีใครเขาเดินไปหรอก เพราะไกลมาก

ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเขาขับรถไปส่งน่าเป็นเรื่องดี แต่โดยปกติวิสัยของคนอเมริกาแล้ว การจะขับรถไปส่งใครคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก คนอเมริกันเขาไม่ทำกัน หลังจากอธิษฐานให้หลวงพ่อช่วย แล้ว ปรากฏว่าคนงานก่อสร้างนั้น ขับรถไปส่งจริงๆ และอีกครั้งหนึ่งเกิดระหว่างไปโชว์ตัวที่ญี่ปุ่น

เจมี่ ยังฝากบอกบุญด้วยว่า ในวันเสาร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม นี้ ในฐานะที่ร่วมทำบุญสร้างวัดใหม่ปลายห้วยมาอย่างต่อเนื่อง จึงอยากเชิญชวนเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมทบทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธ และหอผู้ป่วยอายุรกรรม โรงพยาบาลพิจิตร โดยมีหลวงปู่ทองดี อนิโฆ เป็นประธาน

พุทธศาสนิกชนร่วมบุญได้ที่วัดใหม่ปลายห้วย อ.เมือง จ.พิจิตร โทร.๐๘-๖๐๖๒-๘๔๔๖ และโรงพยาบาลพิจิตร โทร.๐-๕๖๖๑-๑๒๓๐

0 เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู ०


จาก คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/2008/07/0...news_id=210108

Sunday, August 9, 2009

พระอาจารย์วรา ปุญฺญวโร อดีตมุสลิม สู่วิถีธรรม

ความเป็นมาก่อนบวชเป็นพระภิกษุ ของ พระอาจารย์ วราห์ ปุญฺญวโร

พระครูวิศิษฎ์พิทยาคม (วราห์ ปุญฺญวโร) วัดโพธิทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร วิถีชีวิตบนเส้นทางธรรมใต้ร่มกาสาวพัสตร์ของท่านนั้นกล่าวได้ว่า "ไม่ธรรมดา"

เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าบิดาของท่านเป็นอิสลาม มารดาเป็นชาวพุทธ แม้ว่าบิดาจะมีจิตใจกว้างขวางยินยอมให้มารดานับถือพุทธศาสนาตามศรัทธาสืบไป แต่สำหรับบุตรชายย่อมต้องเป็นอิสลามตามขนบธรรมเนียมประเพณีทางฝ่ายบิดา
เมื่อเป็นอิสลามมิกชนแล้ว โอกาสที่จะได้บวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นมิได้
แต่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่น้อมนำให้ชีวิตของพระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ต้องหักเหเข้าสู่วิถีแห่งพุทธธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกาลต่อมา
ปี พ.ศ.๒๕๑๔ เวลานั้น พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ยังอยู่ในวัยเยาว์ วันหนึ่งท่านได้ล้มป่วยลง และมีอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว บิดามารดาจึงรีบพาไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร แพทย์วินิจฉัยโรคแล้วก็ไม่อาจระบุชี้ชัดว่าป่วยไข้ด้วโรคอะไร
อาการของเด็กชายวราห์ ยังคงเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ทั้ง ๆที่อยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ประจำโรงพยาบาลอย่างดีที่สุด

อาการเจ็บไข้ได้ป่วยครั้งนั้น นับว่าหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง ถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา โอกาสจะรอดชีวิตหาแทบไม่เห็น กระทั้งวันต่อมาเด็กชายวราห์ก็มีอาการทรุดลงจนหมดสติ การเต้นของหัวใจอ่อนลงเรื่อยๆ กระทั้งแผ่วหายไป แพทย์พยายามวิ่งวุ่น
พยายามช่วยชีวิตด้วยการปั้มหัวใจอย่างสุดความสามารถ

ในห้วงเวลาที่เด็กชายวราห์สิ้นสติสัมปชัญญะไปแล้ว เกิดนิมิตอันแจ่มชัดว่า ได้มีภิกษุรูปหนึ่งปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า พระภิกษุรูปนั้นมีสง่าราศีผุดผ่องน่าเลื่อมใสศรัทธา บอกกล่าวแก่เด็กชายวราห์ว่า ท่านคือพญานาค นามว่า "พญามุจรินท์นาคราช"
มี บุพกรรมผูกพันกับเด็กชายวราห์หลายภพหลายชาติที่มาปากฏกายให้เห็นครั้งนี้ ก็เพื่อจะบอกว่าให้เปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธ มามกะเสีย ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่กำลังรุมเร้าอยู่ก็จะบรรเทาหายไป
ในนิมิตนั้นเด็ก ชายวราห์ได้แย้งว่า ตนเป็นอิสลามจะหันมานับถือศาสนาไม่ได้เด็ดขาด พระภิกษุก็กล่าวด้วยถ้อยคำที่ชวนสะดุ้งว่า หากไม่ยอมรับเป็นพุทธมามกะ ก็ไม่มีอะไรมาช่วยชีวิตได้แน่นอน และจะต้องตายจากโลกมนุษย์ไปในเวลาไม่กี่นาทีนี้
เด็กชายวราห์รู้สกตกใจกลัวว่า ตัวเองจะไม่พบหน้าพ่อแม่อีก จึงเอ่ยคำรับรองว่าจะเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาแสดงตนเป็นพุทธมามกะต่อไป

พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ได้เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า " ก็เป็นเรื่องแปลกนะโยม พออาตมายกมือไหว้พระภิกษุรูปนั้นและรับปากสัญญาว่าจะยอมเป็นพุทธมามกะ นิมิที่เกิดขึ้นก็ดับวูบไป รู้สึกตัวมีสติขึ้นมาทันที เวลานั้นคุณหมอกำลังปั้มหัวใจอยู่
ทราบจากโยมแม่ภายหลังว่าคุณหมอบอกว่า ถ้าปั้มหัวใจไม่ได้ผลอีกครั้งจะเลิกกระทำ เพราะไม่ฟื้นแน่ พอคุณหมอปั้มหัวใจปุ๊บ อาตมาก็ลืมตาตื่นปั๊บทันที ทุกคนต่างปิติดีใจกันทุกคน หลังจากนั้นอาการป่วยไข้ของอาตมาก็ทุเลาบรรเทาลงอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่า เชื่อ
อยู่โรงพยาบาลไม่กี่วันก็หายเป็นปกติ ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน"

หลังจากเด็กชายวราห์หรือพระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ท่านได้เล่าเรื่องซึ่งเกิดนิมิตประหลาดให้โยมแม่ฟังโดยละเอียด แต่ก็ยังไม่กล้าบอกโยมพ่อ กลังโยมพ่อจะบันดาลโทสะเข้าไป ในช่วงหลายปีที่เจริญวัยเด็กชายมาเป็นวัยรุ่น และเป็นหนุ่มเต็มตัว ได้เกิดนิมิตติดต่อกับพระภิกษุรูปเดิม หรือพญามุจรินท์นาคราชเป็นประจำ ท่านผู้ทรงศีลในนิมิตได้แสดงธรรมให้ได้รับรู้และให้นำไปปฏิบัติเรื่อยมา ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งดื่มดำ่ในธรรมกถาแต่ละข้ออย่างเงียบๆ
แต่ก็ไม่อาจแสดงออกนอกหน้าอย่างเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงโยมพ่ออยู่


เมื่อ เริ่มเป็นหนุ่ม พระภิกษุหรือพญามุจรินท์นาคราชหนึ่งติดต่อกันทางจิตนิมิตได้บอกกับพระ อาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ชิวิตในเพศฆราวาสของท่านถึงวาระหมดสิ้นแล้วให้ท่านบวชเป็นพระภิกษุเข้ามา เป็นพุทธสาวกรับใช้ในบวรพระพุทธศาสนาเสียเถิด แต่พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ซึ่งรู้ว่าพึงกระทำมิได้ ก็ขอผลัดผ่อนเรื่อยมา


ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ พระภิกษุพญามุจรินท์นาคราชก็ได้ปรากฏในนิมิตอีก คราวนี้ท่านได้เตือนย้ำว่าถึงเวลาที่สมควรต้องบวชแล้ว เพราะโยมบิดาถึงวาระจะสิ้นอายุแน่นอน การบวชเป็นพระภิกษุผุ้ืรงศีลบำเพ็ญสมณธรรมเป็นกุศลธรรม ทางเดียวที่จะต่ออายุโยมบิดาให้ยืนยาว
ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ในนิมิตนั้นปรากฎสภาพของโยมบิดาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในต่างแดน และพระภิกษุพญามุจรินท์นาคราชยังระบุเอาไว้ชัดเจนว่า วันที่ ๑๓ ธันวาคม ปีนั้น คือวันสิ้นอายุของโยมบิดาทำให้ท่านตื่นตระหนกทุกข์ร้อนอย่างยิ่ง


พระ อาจารย์วราห์ ปุญฺญวโรเล่าอีกว่า "เมื่ออาตมารู้เห็นจากนิมิตว่าโยมพ่อจะต้องตายแน่ๆ รู้สึกเดือดร้อนทุกข์ทรมานใจอย่างที่สุด แต่ไม่รู้จะบอกกับใครได้ เพราะเรื่องรู้เห็นจากนิมิตเช่นนี้ไม่มี หลักฐานอะไรมายืนยัน แต่ไม่รู้จะพูดกับใครได้ เพราะเรืองรู้เห็นจากนิมิตเช่นนี้ไม่มี หลักฐานอะไรมายืนยัน พูดกับใครบอกกับใคร เขาคงคิดว่าเราเพ้อเจ้อสติพร่องเข้าทำนอง บ้าๆ บอๆ นั่นแหละ จะขอโยมพ่อ โยมแม่บวชเป็นพระก็ให้ติดขัดคับใจไปเสียทั้งหมด เนื่องจากอยุ่ในสังคมของชาวอิสลาม จึงได้อัดอั้นตันใจอยู่คนเดียวด้วยความห่วงใยโยมพ่อ"

โยมบิดาของพระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร มีอาชีพเป็นพนักงานระดับสูง ในเรือเดินสมุทรรับส่งสินค้า ต้องตระเวนท่องทะเลไป ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ออกทะเลแต่ละคราวจะหายไปนานนับเดือนทีเดียว กว่าจะได้กลับมาพักผ่อนช่วงสั้นๆที่บ้าน


วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ ครอบครัวของพระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโรได้รับโทรเลขแจ้งว่าโยมบิดาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจที่ประเทศญี่ปุ่น ในวันนี้ทำให้ทุกคนในครองครัววิปโภคโศกเศร้ากันทั่วหน้า โดยเฉพาะพระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร มีความรู้สึกรันทดใจอย่างหนัก ทั้งนี้ก็เพราะตนเองรู้ทั้งรู้ว่า มีช่องทางจะต่อชีวิตโยมบิดาได้แต่กลับหมดโอกาสกระทำ ประหนึ่งงอมืองอเท้าปล่อยให้ผู้ให้กำเนิดตายไปต่อหน้าต่อตา หลังจากพิธีศพ ของโยมบิดาพ้นไปแล้ว พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโรก็ยังไม่ได้บวชเนื่องจากเหลือโยมแม่อยู่คนเดียว รวมทั้งมีภาระหน้าที่ต้องช่วยเหลือธุรกิจการงานของครอบครัว กระทั่งภาระทั้งหลายค่อยๆ ผ่อนเพลาลง จึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดขอลาเพศฆาราวาสเข้าสู่สมณเพศในวันที่ ๖ กรกฏาคม ๒๕๒๘ อันเป็นอุปสมบท ณ วัดโพธิทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร โดยมีพระรัตนกวี วัดนางนอง เนพระอุปัชฌาย์
พรรษาแรกท่านศึกษาพระ ปริยัติธรรมอย่างคร่ำเคร่งที่วัดโพธิทอง พร้อมๆกับปฏิบัติพระกรรมฐานไปด้วย ล่วงเข้าพรรษาที่ ๒ ท่านเห็นว่าการเจริญภาวนาที่วัดซึ่งมีญาติโยมค่อนข้างพลุกพล่านไม่เอื้อ อำนวยต่อการปฏิบัติทางจิตให้ลุล่วงไปสู่ระดับสูงได้จึงขออนุญาตพระอุปัชฌาย์ ออกเดินธุดงค์พร้อมกับสหธรรมมิก พระลูกศิษย์อีกรูปหนึ่ง พระอุปัชฌาย์ก็อนุญาต
 

ประสบการณ์เดินธุดงค์

พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโรกับเพื่อนสหธรรมิกออกจากวัดโพธิทอง บางมด จาริกธุดงค์มุ่งสู่ภาคใต้ไม่เร่งร้อน ในแต่ละวันจะเดินกันไปเรื่อยๆ เย็นย่ำสนธยาใกล้เวลาวิกาลเมื่อใดก็จะหยุดปักกลดเจริญสมาธิภาวนาเกือบตลอด คืน


ครั้นได้อรุณพระธุดงค์หนุ่มทั้งสองรูปจะออกไปบิณฑบาตโปรดสัตว์ ได้ภัตตาหารอย่างไรก็ฉันอย่างนั้น เพียงเพื่อประทังชีวิตให้ผ่านพ้นไปวันหนึ่งๆ


พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร กล่าวถึงการจาริกธุดงค์ครั้งแรกในสมณเพศว่า เป็นประสบการณ์ที่มีคุณประโยชน์แก่ตนเองอย่างเอกอุ เพราะเป็นการทดสอบความอดทนความไม่หวั่นไหวต่อการตรากตรำอย่างหนัก เป็นการฝึกให้มีสติทุกอริยาบถทำให้รู้ตัวทั้วพร้อมไม่ว่าจะเป็นเวลาลืมตา ตื่นหรือเวลานอนหลับ คือการหลับอย่างมีสติ ขณะที่จาริกผ่านภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมซึ่งยึดถือเส้นทางอันห่างไกลชุมชน ที่เจริญ โดยเฉพาะบางเส้นทางเป็นป่่าเขาลำเนาไพรไม่มีหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของผู้คน ทำให้ได้พบสถานที่สัปปายะเหมาะสมต่อการบำเพ็ญ เพียรเจริณสมาธิภาวนาอย่างยิ่ง และเป็นการขูดเกลากิเลสให้เบาบางลงไปอย่างได้ผล


เมื่อพระอาจารย์ วราห์ ปุญฺญวโร และพระเพื่อนบรรลุสู่แดนใต้ไปถึงจังหวัดยะลา ท่านได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันว่าจะได้พบกล่าวคือขณะปักกลดอยู่ชาย ป่าแห่งหนึ่ง โดยแยกปักกลดห่างไกลพอสมควร ขณะที่เดินดูพื้นที่สำหรับเดินจงกรมท่านก็พบงูเหลือมขนาดใหญ่อย่างน่าพรั่ง พรึง กำลังม้วนลำตัวรัดลิงป่าตัวหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างขนาดเด็กอายุ ๑๑-๑๒ ขวบ ลิงนั้นยังไม่ตายและตะเกียกตะกายสู้สุดฤทธิ์ แม้ลิงจะต่อสู้อย่างไร ก็คงเอาตัวไม่รอดแน่ เพราะขนาดลำตัวยาวเหยียดและใหญ่โตของงูเหลือมม้วนกระหวัดรัดแน่นเข้าทุกที


"อาตมา เดินเข้าไปจนใกล้ เห็นนัยน์ตาของลิงป่าตื่นกลัวสุดขีด และมองมาที่อาตมาเหมือนกับร้องขอให้ช่วยชีวิตมันด้วย" พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร เล่าถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้าครั้งนั้นต่อไปว่า "อาตมาเกิดความเวทนาสงสารลิงป่าตัวนั้นจับจิต แต่ไม่รู้จะช่วยให้มันรอดตายได้อย่างไร พร้อมกันนั้นก็เกิดความสลดสังเวชที่เห็ฯสัตว็โลกต้องเบีัยดเบียนชีวิตเลือด เนื้อกันและกัน เพราะความอดอยากหิวโหยโดยแท้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าการก่อเวรสร้างกรรมเช่นนี้ คือการสืบต่อกฏแห่งกรรมไม่มีวันจบสิ้นลงไปได้
เมื่ออาตมาไม่มีทางอื่นจะ ช่วยชีวิตลิง เพราะตัวเองเป็นพระสงฆ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาไปที่งูเหลือมว่า อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตลิงเอาไว้สักครั้งเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย หากงูเหลือมเคยมีเวรกรรมผูกพันกับอาตมาไม่ว่าชาติใดภพใดอาตมายินดีที่จะมอบ กายสังขารนี้อุทิศให้เป็นอาหารแทนลิงตัวนั้น โดยยินยอมพร้อมใจทุกอย่าง จะไม่ถือโทษโกรธตอบ และจะอโหสิกรรมให้ทั้งหมด


"ก็น่าแปลกนะโยม งูเหลือมใหญ่มากตัวนั้นค่อยๆ คลายลำตัวของเขาที่รัดลิงป่าออก จนประทั้งลิงป่าหลุดจากวงรัดเป็นอิสระแล้ว ตะกุยตะกายวิ่งหนีขึ้นต้นไม้ไป ส่วนงูเหลือมจ้องมองที่อาตมาเขม็ง ซึ่งอาตมาก็ไม่ถอยหนีเหมือนกัน คิดว่าเราให้สัจจะแกเขาแล้ว ถึงจะถูกเขาเข้ามารัดจนตาย ก็ขอยอมตายอย่างสงบ งูเหลือมตัวนั้นไม่ได้ทำอันตรายอาตมาแม้แต่น้อย เขาจ้องมองอาตมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลื้อยหายเข้าไปในป่าทึบ"


พระ อาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร เล่าถึงประสบการณ์ธุดงค์ครั้งแรกต่อไปอีกว่า ในระหว่างที่ท่านบำเพ็ญเพียรสมณธรรมตามสถานที่สงบสงัด พระภิกษุพญามุจรินท์นาคราชได้มาปรากฏในนิมิตหลายครั้ง เพื่อแนะนำแนวทางการปฏิบัติพระกรรมฐานให้ถูกทางและชี้แนะข้อธรรมซึ่งติดขัด จนปลอดโปร่งหายสงสัย
 

ศึกษาวิชาหยั่งรู้ชะตากรรม

ก่อนเข้าพรรษา พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร กับพระเพื่อนได้เดินธุดงค์กลับจากภาคใต้คือสู่่วัดโพธิทอง ที่บางมด เพื่อจำพรรษาที่ ๒ ณ อารามเดิม


การกลับมาจำพรรณาที่วัดโพธิทอง พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ทำนายทักทายชะตาชีวิตของญาติโยมที่มาหาอย่างไม่จริงจังนัก แต่การทำนายอนาคตของญาติโยมแต่ละคนได้อย่างไม่จริงจังนัก แต่การทำนายอนาคตของญาติโยมแต่ละคนได้สร้างความเชื่อถือฮือฮาขึ้นมาอย่าง เงีียบๆ และขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว เพระาทุกคนต่างประจักษ์ว่าคำทำนายของท่านแม่นยำไม่ผิดพลาด

พระ อาจารย์วราห์ ปุญฺญวโรสมัยเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส ตราบกระทั่งเจ้าพิธีอุปสมบทเป็นพระนวกะภิกขุ ไม่เคยแสดงท่าทีว่ามความชอบในวิชาโหราศาสตร์ ถึงกับหาตำรามาศึกษาเล่าเรียนแต่อย่างไร หลังจากจาริกธุดงค์กลับมาแล้ว ท่านกลับสนใจในการทำนายทายทักโชคชะตาราศีให้แก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ


ในเรื่องนี้พระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโรได้เล่าให้ฟังสั้น ๆ ว่า ในระหว่างการเดินทางธุดงค์นั้น ท่านได้ทราบถึงอดีตชาติ ซึ่งข้ามภพชาติหลายต่อหลายชาติมาแล้วว่า ท่านเคยกำเนิดเกิดในอัตภาพของพญานาค อีกทั้งยังเคยทำบุญสร้างกุศลร่วมกับพระภิกขุพญามุจรินท์นาคราช เหตุด้วยมีวาสนาบุพกรรมผูกพันกันดังกล่าว จึงทำให้พระภิกขุพญามัจุรินท์นาคราชปรากฏให้เห็นในนิมิต และชี้แนะให้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นอิสลามิกชน อีกทั้งยังคอยอุปถัมภ์ ค้ำจุนจากเบื้องบนตลอดมา แม้แต่วิชาทำนายทายทักอาตมาก็ได้รับการสั่งสอนมาจากท่านมุจรินท์นาคราช

พระ อาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร "ตอนแรกๆ อาตมาก็ไม่เห็ฯมีปนะดยชน์มากมายอะไร ตราบกระทั้งปัจจุบันนี้ถึงได้เห็นคุณประโยชน์ของวิชานี้ ที่ทำให้อาตมามีกำลังทำนุบำรุงพุทธศาสนา โดยทางก่อสร้างศาสนสถานภายในวัดโพธิทอง ดังที่รู้เห็นกันอยู่นี้ซึ่งศาสนสถานหลายแห่งสำเร็จเสร็จสมบูรณืไปแล้ว และระหว่างที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ย่อมเป็นประโยชน์ แก่พุทธบริษัท ญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจน พระเณรจะได้ประกอบกิจของพระพุทธศาสนาสืบไปอีกหลายชั่วอายุคน"

การทำนายชะตาชีวิตของผู้อื่น ซึ่งพระอาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร ถือเป็นการสงคราะห็ญาติโยมทางหนึ่งนั้น เป็นประโยชน์มากกว่าโทษ เมือ่รู้ว่าผู้ใดกำลังจะมีโชคลาภ อันเป็นปัจจัยแห่งกรรมดีในอดีตของเขากำลังให้ผล ท่านก็จะเตือนสติมิให้ตั้งอยู่ในความประมาทได้ทรัพย์หรือประสบความสำเร็จใน กิจการใดๆแล้วไม่ควรปีติลิงโลดจนเกนการณ์ ต้องรู้จักรักษาทรัพย์ รู้จักใช้ทรัพย์ อันได้มานั้นด้วยความละเอียดรอบคอบ ให้ตั้งใจประกอบแต่กรรมดีสร้างกุศลเพื่อเป็นผลบุญอันจะเป็นปัจจัยของตนสืบ ต่อไปอีก

สำหรับผู้ที่กำลังมีทุกข์โศกโรคภัย ซึ่งเป็นผลแห่งอกุศลกรรมในอดีตเวียนมาถึง ท่่านก็จะบอกวกล่าวแนะนำให้รู้ตัวล่วงหน้า ส่วนวิธีแก้ไขอันสำคัญนั้นต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลแน่วแน่ในการสร้างกรรมดี ทั้งหลายเอาไว้ให้จงหนัก พลังแห่งการกระทำกรรมดีไม่ละเมิดศีลจะเป็นปัจจับเกื้อหนุนให้เคราะห์ร้าย ทั้งปวงอ่อนกำลังลงหรือทำให้มีผลไม่กราดเกรี้ยวอย่างที่ควรจะเป็น


พระ อาจารย์วราห์ ปุญฺญวโร เป็นที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชน ทุกวันนี้กุฏิของท่านหัวกระไดไม่เคยแห้ง และไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ท่านสามารถสร้างศาสนสถานด้วยเงินจากศรัทธาของประชาชนนับร้อยล้านอย่างเหลือ เชื่อ

ที่มา
http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1833

http://adf.ly/1Cyhpu

ความจริงแห่งอัลกุรอ่านหลายฉบับ 
อิสลามที่แท้จริง(ฆ่าคนไปสวรรค์) 
ภาพยนต์ Fitna